ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หลวงพ่อยุ้ย วัดอุทัยธาราม (วัดบางกะปิ) กรุงเทพมหานคร

ประวัติ หลวงพ่อยุ้ย วัดบางกะปิ (กรุงเทพฯ)
        "หลวงพ่อยุ้ย วัดอุทัยธาราม" (บางกะปิ) ตามประวัติท่านไม่ได้ถูกจดบันทึกอะไรไว้มากนัก ทราบแต่เพียงว่า ท่านเป็นคนพื้นเพกรุงเทพฯ เมื่อบวชเรียนแล้วก็อยู่จำพรรษาที่วัดบางกะปิ หลวงพ่อยุ้ยท่านถือธุดงควัตรเป็นหลัก ปฎิบัติจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญเพียรหาทางหลุดพ้น ท่านธุดงค์ไปจนถึงประเทศพม่า ซึ่งในสมัยนั้นนับว่าการเดินทางยากลำบากและทุรกันดารมาก ถ้าไม่เก่งจริง คงไปไม่ถึงหรือไม่ได้กลับมาเป็นแน่

       หลังจากที่ท่านเดินทางออกธุดงควัตรจารึกไปในสถานที่ต่างๆอยู่หลายปี ท่านจึงกลับมาจำพรรษาอยู่ที่ "วัดอุทัยธาราม" (บางกะปิ) สมัยนั้นมี (พระอธิการอุย อินทโชติ) เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อยุ้ยท่านเป็นพระลูกวัด ท่านเป็นพระธรรมดา คลองผ้าจีวรสีซี๊ด ท่านไม่รับตำแหน่งใดๆ 

     "วัดอุทัยธาราม" หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดบางกะปิ” เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ริมคลองบางกะปิ ท้องที่ตำบลบางกะปิ อำเภอบางกะปิ จังหวัดพระนคร ในอดีต ซึ่งชาวบ้านมักนิยมเรียกกันอย่างนั้น วัดอุทัยธาราม นี้ไม่ทราบหลักฐานในการสร้างวัดที่แน่ชัด เป็นแต่ท่านผู้ใหญ่ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ได้มีผู้บูรณะต่อตามที่ได้เล่ากันสืบมาว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ประมาณ พ.ศ.๒๓๑๐ และต่อมาเนื่องจากกรุงศรีอยุธยาแตก แม่ทัพนายกองทั้งหลายได้อพยพหนีภัยสงครามลงมาด้วย และเมื่อผ่านลงมาพบเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของคลองบางกะปิ ซึ่งเป็นสถานที่สงบเงียบ จึงได้นำสมบัติมาฝังไว้ ณ ที่มีด้วยแล้วหนีต่อไป เมื่อบ้านเมืองสงบดีแล้วจึงได้กลับมาบูรณะ และสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาอีก โดยได้จัดสร้างพระเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้น และได้นำเอาสมบัติมีค่า และวัตถุมงคลพร้อมทั้งพระบรมธาตุส่วนหนึ่งบรรจุไว้ในเจดีย์แห่งนี้ และวัดนี้คงเจริญรุ่งเรืองในสมัยนั้น เพราะว่าท่านผู้ใหญ่เคยบอกว่าวัดนี้เคยมีพระสงฆ์มาชุมนุมอยู่มากมาย พร้อมทั้งยังมีปริวาสกรรมอยู่ในกลางทุ่งนานอกวัด 

     วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๗ ซึ่งตรงกับวัน วิสาขบูชา วัดนี้ได้ถูกกระทบจากภัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งตรงลูกระเบิดทำให้องค์พระเจดีย์โค่นลง เพราะแรงสะเทือน และความเก่าแก่ขององค์พระเจดีย์ แม้ฝั่งที่ตั้งของวัดก็ถูกระเบิดกุฏิพระสงฆ์พังเสียหายลงสองหลัง

     วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๘ ต่อมาได้มีการขุดค้นฐานซากพระเจดีย์ใหญ่ได้พบวัตถุโบราณต่างๆ เช่นพระเครื่องเนื้อชินสนิมแดง พระยอดธง พระโคนสมอ พระพุทธรูปบูชา และพระบรมธาตุ ซึ่งสมบัติต่างๆ นี้บางส่วนได้ให้บูชาหาทุนสร้างเสนาสนะ บางส่วนก็ได้ขึ้นบัญชีไว้ และนำเก็บรักษา จากที่ได้พบกับวัตถุต่างๆ นี้ จึงสันนิฐานว่าวัดนี้เป็นวัดพระยาอุทัยได้บูรณะหรือสร้างขึ้น จึงได้นำเอานามว่า “อุทัย” นี้มาเป็นนามของวัด

รายนามเจ้าอาวาส
      ๑. พระอุปัชฌาย์ทอง ไม่ปรากฏประวัติ
      ๒. พระอธิการดี ไม่ปรากฏประวัติ
      ๓. พระอธิการแดง ประวัติไม่ชัดเจน
      ๔. พระโต (รักษาการ) ไม่ปรากฏประวัติ
      ๕. เจ้าคณะหมวดอุย อินฺทโชติ (อุย ลิ่มจีน) 
      ๖. พระครูปราโมทย์ธรรมคุณ (ชื่น อยู่เกิด) 
      ๗. พระครูอุทัยปุญญาภิรักษ์(ยอด มหาปุญโญ) 

      "วัดอุทัยธาราม" (บางกะปิ) ที่วัดนี้มีของดีอยู่สองอย่าง คือพระเนื้อตะกั่วสนิมแดง รูปทรงสามเหลี่ยมมีฐานผ้าทิพย์ดูคล้ายๆ กับ "พระวัดสามปลื้ม" และพระอีกอย่างหนึ่งก็คือพระปิดตา ที่หลวงพ่อยุ้ยท่านสร้าง ในสมัยก่อนพบเห็นได้บ่อยๆ ในสนามพระทั่วๆไป แต่ปัจจุบันของแท้ก็ไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนัก

      พระปิดตาหลวงพ่อยุ้ย วัดบางกะปิ ท่านสร้างขึ้นในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ หลวงพ่อยุ้ยท่านจึงคิดสร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกจ่ายทหาร และประชาชนทั่วไปให้มีขวัญและกำลังใจที่ดี ท่านจึงได้รวบรวมโลหะเก่าประเภททองเหลือง ขัน ฝาบาตร เป็นหลักนำมาหล่อหลอมเป็นพระปิดตาพิมพ์ประกบ แบบลอยองค์ มีรอยตัดชนวนที่ก้นองค์พระ องค์พระปิดตามีพระหัตถ์ ๓คู่ ปิดที่หู ๑คู่ ปิดตา ๑คู่ ปิดทวาร ๑คู่ กลางพระอุระ มียันต์อุณาโลม ด้านหลังเป็นยันต์ "อะระหัง" พระที่หล่อมาจะมีห่วงสำหรับห้อยในตัวเพื่อความสะดวกสำหรับคนโบราณที่สามารถนำไปห้อยแขวนบูชาติดตัวได้เลย พระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยมีพุทธคุณและประสบการณ์เรื่องแคล้วคลาด คงกระพัน เป็นหลัก เพราะสร้างในช่วงศึกสงครามส่วนมากจะเน้นด้านพุทธคุณเรื่องนี้เป็นสำคัญ ถ้าผ่านการใช้แล้วพระจะออกสีน้ำตาลเข้ม

     พระอีกหนึ่งพิมพ์ที่หลวงพ่อท่านสร้าง พระเนื้อชินเปียกทอง "หลวงพ่อยุ้ย วัดบางกะปิ" พระเนื้อตะกั่ว ท่านสร้างจากเนื้อฉนวนพระกรุวัดบางกะปิ ซี่งประสบการณ์พระกรุนี้ เป็นที่รู้กันในพื้นที่ว่าเหนียวขนาดไหน หลวงพ่อยุ้ย วัดบางกะปิ ท่านนำพระกรุวัดบางกะปิ เนื้อชินที่ชำรุด มาหล่อใหม่โดยล้อพิมพ์เดิม บางทีเลยเรียกว่า พระกรุวัดบางกะปิ รุ่น๒ พุทธคุณเหมือนพระกรุเก่าทุกประการ ลักษณะรูปทรงองค์พระคล้าย "ใบหอก" องค์พระปางมารวิชัย ประทับเหนืออาสนะฐานสองชั้น ชั้นล่างสุดเป็นฐานขาโต๊ะ อีกชั้นเป็นฐานเขียง ตรงกลางมี "ผ้าทิพย์"
ทุกองค์สร้างด้วยเนื้อตะกั่ว ปิดทองเก่า ทุกองค์

      พระของหลวงพ่อยุ้ย วัดบางกะปินี้มีประสบการณ์ต่างๆมากมาย คนเก่าแก่ในแถบนั้นเคยเล่าให้ฟังว่า มีเด็กทารกในละแวกนั้นพ่อแม่เอาพระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยแขวนให้ อยู่มาวันหนึ่งเกิดพลัดตกลงไปในคลอง ปรากฏว่าเด็กคนนั้นไม่จมน้ำกลับลอยน้ำ จนมีคนมาช่วยไว้ทัน ส่วนเรื่องเขี้ยวงาก็หายห่วง เคยมีคนที่ใส่พระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยโดนหมากัดจนจมเขี้ยว แต่ไม่เข้าเลย เรื่องมีดเรื่องปืนก็โดนกันมาเยอะ ในสมัยก่อนนั้น เคยมีคนนำพระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยมาลอง โดยนำปลาช่อนเป็นๆ เอาพระใส่ไปในปาก แล้วเอามีดฟันดู ปรากฏว่ามีดไม่เข้าเนื้อปลาเลย

เรียบเรียง : พระเกจิ แดนสยาม
https://www.facebook.com/prakejidansiam/

#ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ

#พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
#เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...