ประวัติ หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว (ฉะเชิงเทรา)
"พระครูสุวรรณศีลาจารย์" (หลวงพ่อทอง คงฺครตโน) ท่านถือกำเนิดเมื่อ วันจันทร์ ที่๓ กรกฎาคม ปีเถาะ พ.ศ.๒๔๓๔ ที่ ตำบลประทุมชีวราราม อำเภอนีกา จังหวัดพนมเปญ ประเทศเขมร ท่านมีเชื้อสายกษัติย์ โยมบิดาชื่อ นายมิ่ง โยมมารดาชื่อ นางเอี่ยง "เนรมิต" หลวงพ่อทองในวัยหนุ่ม ท่านเดินทางจากไซ่ง่อนมาทางเรือสำเภามาพำนักอยู่ที่กรุงเทพฯ ประกอบอาชีพค้าขาย
ต่อมาท่านได้รู้จักกับ พระวัดสัมพันธวงศ์รูปหนึ่งได้ชวนท่านบวชเณรแล้วชวนท่านมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดสมานรัตนาราม ซึ่งเป็นวัดธรรมยุต แต่ท่านเกิดป่วยหนักมีคนรู้จักจึงพาท่านมาอยู่ที่บ้านไผ่แสวง ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมาคนที่พาท่านมาได้เสียชีวิตลงและเผาที่วัดจุกเฌอ หลวงพ่อเลยบวชหน้าไฟให้ ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่ได้ลาสิกขาบทอีกเลย
หลวงพ่อทองท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุ ๒๙ ปี ณ พัทธสีมาวัดจุกเฌอ ตำบลจุกเฌอ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๔ โดยมี (พระครูคณานุกิจวิจารย์) วัดสายชลณรังษีเป็นพระอุปัชฌาย์ (พระสมุห์เหลี่ยม) วัดสัมปทวนเป็นพระกรรมวาจาจารย์และ (พระอธิการแสง) วัดจุกเฌอเป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้นามฉายาว่า "คงฺครตโน"
เมื่อบวชแล้วท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดจุกเฌอศึกษาเล่าเรียนกับ (พระอธิการแสง) ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงและเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากัมมัฏฐานในสมัยนั้น หลวงพ่อทองศึกษาอักขระสมัยทั้งภาษาขอมไทยบาลีจนมีความเชี่ยวชาญ หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆท่านเคยธุดงค์ไปถึงประเทศเขมรและพม่า ศึกษาเล่าเรียนกับหลายอาจารย์ พระอาจารย์ของหลวงพ่อทอง
๑. พระอธิการแสง วัดจุกเฌอศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐาน
๒. ท่านอาจารย์สุวรรณ ศึกษาพระเวทย์อาคม
๓. พระครูเขาพระ จังหวัดกาญจนบุรี
๔. เฒ่ามุ้ยศึกษาวิชาลงกระหม่อม
หลวงพ่อออกธุดงค์เป็นเวลากว่า ๒๐ ปีจึงกลับไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดจุกเฌอ ส่วนวัดก้อนแก้วในสมัยนั้นเกือบจะเป็นวัดร้างอยู่แล้ว (คุณยายแฉล้ม ละมั่งทอง) ได้ไปอาราธนานิมนต์หลวงพ่อไปจำพรรษาที่วัดก้อนแก้ว เนื่องจาก (พระอาจารย์วงศ์) เจ้าอาวาสรูปก่อนมรณภาพลง ในปีพ.ศ.๒๔๖๖ หลวงพ่อจึงเดินทางมาจากวัดจุกเฌอมารักษาการเจ้าอาวาสวัดก้อนแก้ว ก่อนจะมาท่านถูกนิมนต์ถึง ๓ ครั้งก็ไม่ยอมมาครั้งสุดท้ายเจ้าคณะจังหวัด "เจ้าคุณพุทธิรังสีมุณีวงศ์" ต้องจัดขบวนแห่จากวัดจุกเฌอมาวัดก้อนแก้วโดยมีเจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้นำขบวนเองจึงยอมมาและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดก้อนแก้ว
วันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ท่านดำรงค์ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดก้อนแก้วโดยมีเจ้าคุณพุทธิรังสีมุณีวงศ์เจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้ง
พ.ศ.๒๕๑๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูชั้นประทวน
พ.ศ.๒๕๑๔ ได้รับสมณศักดิ์เป็นที่พระครูสุวรรณศีลาจารย์
หลวงพ่อทองท่านเป็นคนพูดน้อยแต่อารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ น้อยครั้งที่ท่านจะดุด่าศิษย์ มากไปด้วยความเมตตา เป็นที่พึ่งของชาวบ้านทั้งหลายเมื่อยามทุกข์ร้อนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยมักจะได้รับหยูกยาการรักษาจากท่าน ท่านไม่เคยขัดศรัทธาชาวบ้านปัจจัยที่ได้ท่านจะนำมาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดก้อนแก้วจนหมดสิ้นไม่มีการสะสมท่านให้ความเมตตากับทุกคน ให้อยู่ในระเบียบวินัย วัดก้อนแก้วเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสมัยที่ท่านปกครองดูแลวัดท่านสร้างพระอุโบสถไว้อย่างงดงามสร้างกุฏิหลายหลังทำถนนเข้าวัดสร้างความเจริญให้วัดมากมาย
ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลไว้มากมายหลายแบบได้แก่ เหรียญ, พระเนื้อว่าน, ตะกรุดโทน, ผ้ายันต์ หลวงพ่อมีชื่อเสียงเรื่องการสักยันต์ท่านจะตั้งศาลเพียงตาบูชาครูหน้าพระอุโบสถ แล้วสักยันต์ให้ในพระอุโบสถนั่นเอง วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นมาในสมัยนั้น ส่วนมากมักจะเป็นเหรียญ พระผงก็มีแต่จำนวนน้อย นอกนั้นก็มี พระปิดตา, รูปหล่อ, ตะกรุด, ผ้ายันต์สีแดงสีขาว ที่ทำขึ้นพร้อมกับเหรียญ
การสร้างเหรียญของท่านท่านมักจะสร้างในปีที่มีเสาร์ ๕ เดือน ๕ และจะปลุกเสกกันเต็มพรรษาปลุกเสกจนท่านพอใจแล้วจึงนำออกมาให้บูชา การสร้างวัตถุมงคลของท่านมีจุดมุ่งหมายคือนำปัจจัยไปสร้างสาธารณกุศล ทุกครั้งวัตถุมงคลของท่านจะต้องมียันต์หยุดศาสตราวุธของพระพุทธเจ้าถ้าเป็นพระผงอย่างน้อยจะต้องเป็นยันต์เฑาะว์และมะอะอุท่านจะไม่ยอมโดยเด็ดขาดที่จะนำรูปท่านไปสร้างเป็นวัตถุมงคลแล้วนำไปออกที่วัดอื่น ท่านจะอนุญาตให้สร้างที่วัดก้อนแก้ววัดเดียว การสร้างวัตถุมงคลทุกครั้งลูกศิษย์หรือคณะกรรมการจะต้องขออนุญาตจากท่านและขอความคิดเห็นจากท่าน มีวัดอื่นนำรูปของท่านไปสร้างเป็นเหรียญแล้วนำมาให้ท่านปลุกเสกขอร้องอย่างไรท่านก็ไม่ยอมปลุกเสกให้ แต่ถ้าสร้างเป็นวัตถุมงคลแบบอื่นๆนอกจากรูปท่านท่านจะปลุกเสกให้ด้วยความยินดี
เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพแข็งแรงถ้าท่านอยู่วัดก็ไม่เป็นอันมีเวลาว่าง ต้องมีประชาชนมาขอให้ท่านรดน้ำมนต์กันตลอดทั้งวันคนที่มาวัดเป็นประจำจะทราบเป็นอย่างดีส่วนใหญ่ท่านจะรับนิมนต์ไปปลุกเสกวัตถุมงคลทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงภาคตะวันออกทั้งภาค ต้องมานิมนต์ให้ท่านปลุกเสกทุกงาน เวลาท่านฌาณสมาบัติปลุกเสกจะไม่มีการขยับนั่งได้รวดเดียวโดยไม่มีการพักแม้ว่าท่านชราภาพมากแล้วก็ตาม
สมัยนั้น วัดไหนมีพิธีพุทธาภิเษก ต้องมานิมนต์ท่านทุกวัด ล้วนแต่เป็นงานใหญ่ๆทั้งนั้น ท่านมักได้รับกิจนิมนต์ให้ปลุกเสกร่วมกับ (หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่), (หลวงปู่โต๊ะ ประดู่ฉิมพลี) เป็นประจำ และเวลาท่านนั่งปรกปลุกเสก ท่านจะเสกจนมั่นใจในวัตถุมงคลนั้นๆ จึงจะถอนจาก ญาณสมาบัติ ก่อนเข้าร่วมปลุกเสก ท่านจะให้ หลวงพี่ทุ้ย พระใกล้ชิดท่าน ไปถามว่ากำหนดการสิ้นสุดพิธีปลุกเสกกี่โมง แล้วท่านจะกำหนดจิต เข้าสมาธิปลุกเสก นั่งรวดเดียวจนถึงเวลากำหนดก็จะถอนจากสมาธิลืมตาพอดีทุกครั้ง โดยที่ไม่มีใครไปเรียกแต่อย่างใด ไม่ว่างานนั้นจะมีลั่นฆ้องพัก ฉันน้ำชา แต่สำหรับท่าน นั่งรวดเดียวเลย ยันสว่างก็รวดเดียว จิตท่านนิ่งมาก เวลาเสกของท่านบอกต้องเสกให้ทะลุ ถึงจะได้ผล
ของทุกอย่างของท่านที่ท่านปลุกเสก จึงมีประสบการณ์มากมาย ขนาดเด็กนั่งหัวเรือ โดนฟ้าผ่าเต็มๆ ยังแค่สลบไป พ่อพาไปให้ท่านรดน้ำมนต์ แล้วก็กลับบ้านได้เลย ในตัวเด็กมีเหรียญของท่าน แขวนอยู่เหรียญเดียว
ประสบการณ์เหรียญ รุ่น "บาทใหญ่" วัดก้อนแก้ว สมัยนั้นมีงานวัด วัยรุ่นแถบนั้นเขม่นกัน ตะลุมบอล เสียงปืนดังขึ้นมีคนล้มลง โดนลูกหลง ลูกปืน ๑๑ ม.ม. เจอะเข้าที่ขมับเป็นรอยบุบ สลบไป สักพักก็ฟื้นขึ้นมา ในกระเป๋าเสื้อมีเหรียญบาทใหญ่ ที่เช่าจากวัด เพียงเหรียญเดียว
เรื่องยิงไม่เข้า ปืนด้าน มีให้เล่ากันเป็นประจำกับวัตถุมงคลของท่าน สมัยนั้นถนนทางวัดเปลี่ยวมาก โจรชุมยิ่งนัก วัยรุ่นก็ห้าวข้ามถิ่นกันไม่ได้ แต่วัยรุ่นแถบวัด ยังไงต้องมีวัตถุมงคลของท่านติดตัวทุกคน ถึงขนาดทหารในค่ายศรีโสธร ต้องมาขอจัดสร้างเหรียญให้ท่านปลุกเสก เพื่อติดตัวไปออกสงคราม ในยุคนั้นท่านโด่งดังมาก
เรื่องม้าพยศของท่านที่มีคนนำมาปล่อยเพราะเลี้ยงไม่ไหว ไม่มีใครคนใดเอามันอยู่ ท่านเสกหญ้าให้มันกิน จนมันเชื่องกับท่านคนเดียว แต่มันเกเร มักออกไปนอกวัดเดินเหยียบสวนผักของชาวบ้านทำลายข้าวของ จนชาวบ้านทนไม่ไหว เอามีด เอาปืนไล่ยิง ไล่ฟันแต่ไม่เข้าสักราย เพราะมันมีผ้าจีวรที่ท่านผูกคอมันไว้ จนหลวงพ่อทองท่านมรณภาพลง
หลวงพ่อทอง ท่านถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๖ รวมสิริอายุได้ ๙๒ ปี ๖๓ พรรษา ร่างของหลวงพ่อทองไม่เน่าเปื่อยทางวัดได้ใส่โลงแก้วให้สาธุชนเคารพกราบไหว้
เรียบเรียง : พระเกจิ แดนสยาม
https://www.facebook.com/prakejidansiam/
#ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
#พระอริยสงฆ์บางท่านในอดีตกาลเราอาจไม่ทราบประวัติท่าน
#เพจนี้สร้างขึ้นเพื่อศึกษาและเผยแพร่บารมีของท่านเท่านั้นครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น