ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ก้าน ฐิตธัมโม วัดราชายตนบรรพต (วัดเขาต้นเกด) จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ก้าน ฐิตธัมโม

พระเนกขัมมมุนี หรือ หลวงปู่ก้าน ฐิตธมฺโม วัดราชายตนบรรพต (วัดเขาต้นเกด) ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

พระเนกขัมมมุนี (หลวงปู่ก้าน ฐิตธมฺโม) มีนามเดิมว่า ก้าน ด้วงเด่น เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ปีวอก ณ บ้านโผงเผง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง โยมบิดาชื่อ เจียม ด้วงเด่น โยมมารดาชื่อ กุล ด้วงเด่น ท่านจบการศึกษาประถมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนประชาบาล จ.อ่างทอง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๓ คน หลวงปู่เป็นคนกลาง ซึ่งต่อมาทั้งพี่ชายและน้องชายของหลวงปู่ต่างก็พากันออกบวช



เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ โยมบิดา-มารดาได้ทำการอุปสมบทให้หลวงปู่ตามประเพณี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ณ พัทธสีมาวัดถนนสุทธาราม ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง

ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก

ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ นายบักเซ้ง แซ่อื้อ ถวายที่ดินที่ครอบครองที่มีอยู่แต่เดิมให้หลวงปู่ก้าน

วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ โดยเรียกขานอย่างเป็นทางการว่า “วัดราชายตนบรรพต” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดต้นเกด” ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยและพระนามาภิไธยของทั้งสองพระองค์ประดิษฐานไว้ที่หน้าบันอุโบสถ และทรงปลูกต้นศรีตรังไว้ที่หน้าอุโบสถ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๗ อีกด้วย หลังจากที่สร้างวัดเพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรมของหลวงปู่และเป็นของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปแล้ว หลวงปู่ก้านก็ไม่เคยย้ายไปอยู่ที่วัดอื่นใดอีกเลย

หลวงปู่ก้าน เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีเมตตา เป็นที่เคารพศรัทธาของลูกศิษย์ที่เป็นสงฆ์และฆราวาส จะเห็นได้จากในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาจะมีพุทธศาสนิกชนพากันหลั่งไหลเข้าวัด เวียนเทียน ฟังเทศน์ ฟังธรรมจากหลวงปู่ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันตรุษ วันประเพณีต่างๆ รวมไปถึงวันคล้ายวันเกิดและวันสำคัญต่างๆ ของหลวงปู่ก้านก็จะมีพระเถรานุเถระผู้ใหญ่ร่วมกันสวดมนต์ถวายพรแด่หลวงปู่เป็นประจำทุกปี

สำหรับประวัติของหลวงปู่ก้านโดยละเอียดนั้น ค่อนข้างหาอ่านได้ยากเพราะท่านยังไม่อนุญาตให้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ แต่เราสามารถศึกษาประวัติของหลวงปู่ก้านได้ โดยผ่านประวัติของหลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม เนื่องจากท่านทั้งสองเป็นสหธรรมิกคู่บารมีกันค่ะ หลวงปู่ก้านท่านเดินทางไปมอบกายถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) จ.สกลนคร พร้อมกับหลวงปู่ฉลวย ก่อนที่ท่านทั้งสองจะได้ทำญัตติกรรมใหม่เป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เวลา ๒๐.๔๒ น. โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ร่วมกัน และพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ โดยได้รับนามฉายาว่า “สุธมฺโม” และ “ฐิตธมฺโม” ตามลำดับ ในขณะนั้นหลวงปู่ฉลวยมีอายุ ๔๒ ปีแล้ว

นอกจากนี้หลวงปู่ก้านยังเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกับหลวงปู่ฉลวยช่วยกันสร้างวัดป่ากลางโนนภู่ (เดิมชื่อ วัดป่าบ้านภู่ หรือวัดกลางบ้านภู่) บ้านกุดก้อม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร สถานที่อันเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พ.ศ. ๒๔๙๒”

หลังจากหลวงปู่ฉลวย-หลวงปู่ก้านได้ญัตติกรรมใหม่ในคณะธรรมยุติกนิกายแล้ว ท่านทั้งสองก็ได้พำนักจำพรรษาที่วัดป่ากลางโนนภู่ อีก ๑ พรรษา ได้สร้างเสนาสนะและเทศนาธรรมสั่งสอนชาวบ้านให้เกิดศรัทธาความเลื่อมใส ส่วนในการปฏิบัติภาวนานั้น หลวงปู่ฉลวยจะมีนิมิตภาพเจดีย์ของวัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา ปรากฏอยู่เสมอ ท่านจึงเกิดความสงสัยว่าวัดใหญ่ชัยมงคลกับท่านนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันหนอ เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่ฉลวยจึงชักชวนหลวงปู่ก้านออกเดินธุดงค์กลับมายัง จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีสามเณรติดตามมาด้วยองค์หนึ่ง สำหรับวัดป่ากลางโนนภู่หลวงปู่ฉลวยได้นิมนต์ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินโน มาเป็นเจ้าอาวาสสืบต่อมา

สำหรับ “พิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พ.ศ. ๒๔๙๒” วัดป่ากลางโนนภู่ บ้านกุดก้อมนั้น เป็นอาคารไม้ซึ่งเป็นกุฏิที่ท่านพระอาจารย์มั่นใช้พักในคราวอาพาธระยะสุดท้าย เป็นเวลา ๑๐ วัน ก่อนจะไปมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร ในคืนเดียวกับที่ได้อาราธนาองค์ท่านมายังวัดป่าสุทธาวาส ภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ มีการจัดแสดงบริขารของท่านพระอาจารย์มั่นที่องค์ท่านเคยใช้ในคราวมาพักอาพาธอยู่ที่วัดแห่งนี้ อันได้แก่ แคร่คานหามที่ได้ใช้อาราธนาองค์ท่านจากวัดป่าบ้านหนองผือ มาที่วัดป่ากลางโนนภู่แห่งนี้, เตียง, มุ้ง, กลด, ที่นอน, ประทุน ฯลฯ รวมทั้ง ยังได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับชีวประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ตลอดจนเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป, รูปหล่อเหมือนท่านพระอาจารย์มั่น, ภาพถ่ายประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าที่หาชมได้ยาก, พระบรมสารีริกธาตุ, อัฐิธาตุของท่านพระอาจารย์มั่น, อัฐิธาตุของพ่อแม่ครูบาอาจารย์สายพระป่ากรรมฐาน, อัฐิธาตุของอดีตเจ้าอาวาส คือ พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน และพระอาจารย์กว่า สุมโน เป็นต้น

เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ได้เมตตามาเป็นองค์ประธานเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ และบรรจุอัฐิธาตุของท่าน พร้อมทั้งมารับผ้าป่าช่วยชาติในคราวเดียวกัน นับแต่นั้นมาพิพิธภัณฑ์ศาลาที่พักอาพาธพระอาจารย์มั่นฯ แห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ทางพระพุทธศาสนาสืบต่อมา

:b47: ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10637


“ใบ กิ่ง ก้าน ธรรม พระอาจารย์ก้าน ฐิตธมฺโม”

คัดลอกบทความจาก posttoday.com

ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีวัดแห่งหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปบำเพ็ญพระราชกุศลอยู่เสมอ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ วัดแห่งนั้นคือ วัดราชายตนบรรพต หรือวัดเขาต้นเกด ตามประวัติที่แพร่หลายกันนั้นระบุว่า พระอาจารย์ฉลวย สุธมฺโม (งามสมภาค) พระอาจารย์ก้าน ฐิตธมฺโม (ด้วงเด่น) หรือ พระเนกขัมมมุนี และพระอาจารย์กิ่ง วรปุตโต (ด้วงเด่น) รวม ๓ รูป ร่วมกันก่อสร้างวัดแห่งนี้ด้วยกันเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๐ ครั้งนั้นพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่รกร้าง อยู่ในการดูแลของเถ้าแก่ บั๊กเซ้ง แซ่อื้อ และคุณเจี่ย แต่ทั้งหมดนี้ รวมทั้งนายสมาน ทวีศรี ซึ่งเป็นป่าไม้อำเภอหัวหินอยู่ในขณะนั้น ได้มีศรัทธาปสาทะ ยินดีในการปฏิบัติเผยแผ่ของ พระสุปฏิปันโนทั้ง ๓ รูป จึงอนุญาตและสนับสนุน ให้ใช้ที่ดินผืนนั้นก่อตั้งเป็นวัดขึ้น โดยได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๕ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๕ ในนามวัดราชายตนบรรพต แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า “วัดเขาต้นเกด”

เมื่อเห็นนาม พระอาจารย์ฉลวย สุธมฺโม ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์พระกรรมฐานย่อมระลึกถึงหนึ่งในพระอริยบุคคลซึ่งเป็นศิษย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่เป็นพระมหานิกาย

พระอาจารย์ฉลวย สุธมฺโม พระอาจารย์ก้าน ฐิตธมฺโม และ พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงนั้น มิเพียงเป็น สหธรรมิกกัน หากแต่ยังมีความละม้ายคล้ายคลึงกันประการหนึ่งคือ เป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ทั้งที่ยังเป็นพระฝ่ายมหานิกาย

หลวงปู่ฉลวยละขันธ์ไปแล้วเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๖ ขณะวัย ๘๗ ปี ส่วนหลวงปู่ก้านนั้น ท่านยังดำรงขันธ์อยู่ และในปีนี้จะมีอายุ ๙๕ ปี

ประวัติหลวงปู่ก้านโดยละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ยังไม่มีใครทราบ เพราะท่านยังไม่อนุญาตให้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่

ที่พอจะมีการเผยแผ่อยู่คือ นามเดิมว่า ก้าน ด้วงเด่น เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๓ ปีวอก อยู่ที่บ้านโผงเผง ต.โผงเผง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ในสกุลของพ่อ เจียม ด้วงเด่น แม่ กุล ด้วงเด่น

ท่านเป็นคนกลางของพี่น้อง ๓ คน ซึ่งชื่อเรียงกันว่า ใบก้านกิ่ง และบุตรชายในครอบครัวนี้ได้อุปสมบททั้งหมด

ท่านเองได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๓ ขณะอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ โดยโยมบิดามารดาได้อุปสมบทให้ที่วัดถนนสุทธาราม จ.อ่างทอง หลังจากนั้นเพียง ๔ ปี คือในปี พ.ศ.๒๔๘๗ ท่านก็สอบได้นักธรรมเอก

แม้ว่าจะไม่มีประวัติหลวงปู่ก้านโดยละเอียด แต่ผู้สนใจศึกษาก็อาจจะแกะรอยได้จากประวัติหลวงปู่ฉลวย สหธรรมิกคู่บารมี

ประวัติของหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม ดังกล่าว แสดงให้เห็นเส้นทางธรรมของพระสุปฏิปันโนสองรูปที่เคียงคู่กันมาตั้งแต่ต้นๆ จนอีกฝ่ายล่วง สู่มรรคาแห่งพระนิพพานอย่างชัดแจ้ง

ทั้งสองท่านพบกันครั้งแรกที่วัดยม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา

ครั้งนั้น หลวงปู่ฉลวย อายุได้ ๓๙ ปี อุปสมบทเป็นหนที่ ๒ ในคณะมหานิกาย ที่วัดโคกช้าง อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา มี หลวงพ่ออั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เป็นพระอุปัชฌายะ พอบวชแล้วก็มองหาที่ปฏิบัติ เมื่อได้ยินว่าวัดยมเป็นวัดปฏิบัติ จึง ขออนุญาตพระอาจารย์เปลื้อง เจ้าอาวาสวัดยม มาอาศัยในบริเวณป่าช้าของวัดดังกล่าว

ขณะนั้นหลวงปู่ฉลวยเป็นพระหนุ่มใหญ่ที่ตั้งเข็มมุ่งมั่นสู่การปฏิบัติอย่างแน่วแน่ ส่วนหลวงปู่ก้านเป็นพระหนุ่มน้อยซึ่งเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดบางบาล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา

ผู้อ่อนวัยวุฒิเรียกหาผู้อาวุโสว่า “หลวงน้า”

ต่างสบอัธยาศัยซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างฝักใฝ่ในการปฏิบัติเป็นทุน

ถ้าเป็นภาษาการเมืองก็ต้องเรียกว่า มีอุดมการณ์เดียวกัน

ตามประวัติหลวงปู่ก้านระบุไว้ว่า ท่านได้พบ “หลวงพ่อก้าน ฐิตธมฺโม ซึ่งขณะนั้นเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดบางบาล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อมีโอกาสได้สนทนากันในข้ออรรถข้อธรรม ก็ถูกจริตนิสัยกัน จึงสนทนาธรรมกันอยู่เสมอ”

ทั้งสองรูปมีอะไรสนทนากันในเมื่ออีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาไปปฏิบัติ ?

ในประวัติหลวงปู่ฉลวยมีบันทึกไว้เล็กน้อยว่า ตอนหนึ่ง หลวงพ่อก้าน กล่าวว่า “หลวงน้าฉันมื้อเดียว เคร่งไป ไม่เป็น มัชฌิมาปฏิปทา”

หลวงปู่จึงตอบว่า “คุณก้าน ท่านว่าแม่น้ำมันเชี่ยวนั้นท่านลองลงว่ายดูหรือยังว่ามันเชี่ยวหรือมันเบาขนาดไหน”

ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นิมนต์หลวงพ่อก้านมาฉันน้ำร้อนและสนทนาธรรม ตอนหนึ่ง หลวงปู่กล่าวว่า “คุณก้าน ลองหาดูวิญญาณซิ” หลวงพ่อก้านจึงนั่งสมาธิพิจารณาสักครู่ จึงตอบว่า “หาไม่เจอ”

จากความนี้ย่อมสันนิษฐานได้ว่า พระก้านในขณะนั้นมิได้เป็นแต่ครูสอนนักธรรม แต่เป็นครูที่ดียิ่งคือปฏิบัติเคียงคู่ไปกับปริยัติ

ถ้าพิจารณาจากสภาวธรรมของข้างใดข้างหนึ่งก็พอจะคาดเดาได้ว่า นอกจากความเหล่านั้นแล้ว ทั้งสองท่านจะสนทนาอะไรกันอีก

ตามประวัติที่ปรากฏ ณ กุฏิหลังเล็กๆ พื้นเป็นไม้กระดาน ๕ แผ่น หลังคามุงสังกะสี ในป่าช้าวัดยมนี้เอง หลวงปู่ก้านได้ลิ้มรสแห่งธรรมะ

“...อธิษฐานจิตบูชาคุณของพระพุทธเจ้า และได้เกิดขึ้นที่ใจว่า “เมื่อมีความอยากได้ อยากถึงอยู่ในใจ ความอยากก็จะกันปัญญาเสียหมด” ดังนั้น ท่านจึงอธิษฐานจิตว่า “โสดา สกทาคา อนาคา อรหันต์ ข้าพเจ้าไม่ต้องการ สมาธิ สติ ปัญญาก็ไม่ต้องง้อ เมื่อทำไปถูกต้องแล้ว ก็มีเอง”

เมื่อเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว หลวงปู่ก็ตั้งหน้าทำความเพียรต่อไป ทำกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก จนเกิดขึ้นที่ใจเองว่า กัมมัฏฐานนี้ยาวไป เขาก็ย่อเองเป็น “เข้มแข็งธาตุดิน เหลวธาตุน้ำ อบอุ่นธาตุไฟ เคลื่อนไหวธาตุลม” ยังไม่ทันเป็นอนุโลม ก็มองเห็นกระดูกภายในร่างกายบริเวณศีรษะถึงคอ เมื่อทำต่อไป เกิดขึ้นครั้งที่สอง ก็มองเห็นกระดูกภายในไปถึงครึ่งตัว เมื่อทำต่อไป เกิดขึ้นครั้งที่สาม ก็มองเห็นกระดูกภายในหมดทั้งตัว เมื่อถึงจุดนั้นไม่มีอะไรเลย ทั้งตัวผู้พิจารณาก็หายไปที่นั้นเอง

เมื่อถอนออกแล้ว หลวงปู่ก็ทำความเพียรต่อไป เกิดดำริว่าจะพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ก็เกิดขึ้นที่ใจว่า ยังไม่ควร หลวงปู่ก็ทำกัมมัฏฐานต่อไป หันมากำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จนลมหายใจไม่เข้าไม่ออก ทำจนกระทั่งสามารถบังคับลมหายใจ ให้เข้าไปแล้วไม่ออกมาก็ได้ ออกไปแล้วไม่เข้าก็ได้...”

ด้วยความมุ่งมั่นในการปฏิบัติของหลวงปู่ฉลวยนั้นเอง เมื่อท่านได้พบกับเจ้าของน้ำอบนางลอยชื่อ “กิมเฮียง” ซึ่งเปิดกิจการอยู่หน้าวัดเทพธิดาราม จึงได้สนทนากันเรื่องการปฏิบัติของสำนักต่างๆ และโยมกิมเฮียงนี่เองที่ชักชวนท่านร่วมคณะไปร่วมทอดกฐินที่ วัดหนองผือ จ.สกลนคร

เป็นเหตุให้ท่านได้พบและฝากตัวรับการอบรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๑๘ วัน เป็นครั้งแรก

หลังจากกลับจากอีสานแล้วธุดงค์มายังแถบ จ.เพชรบุรี ได้ไม่นาน ท่านก็ยกคณะกลับไปบ้านหนองผือ หาพระอาจารย์มั่นอีกครา

“...หลวงปู่ฉลวย หลวงพ่อก้าน พระสายบัว พระทองม้วน จึงเข้าไปยังวัดหนองผือ เมื่อเข้ามาในวัดหนองผือแล้วก็ไปยังกุฏิของหลวงปู่มั่น เมื่อพบหลวงปู่มั่น ท่านก็ทักขึ้นก่อนว่า “อ้าว ฉลวย มาอีกแล้ว ไม่กลัวตายหรือ”

“ครับ กระดูก ๓๐๐ ท่อน ตายตรงไหน ก็ทิ้งมันตรงนั้นแหละครับ” หลวงปู่ตอบ

หนนั้นอยู่จนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา ท่านจึงจากพระอาจารย์มั่นมาและร่วมกันก่อตั้งวัดโนนภู่อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ขึ้นเป็นที่จำพรรษา

ต่อมาวัดแห่งนี้มี พระอาจารย์กู่ ธัมมทินโน มาเป็นเจ้าอาวาส และเป็นที่พักของคณะที่นำพระอาจารย์มั่นมาพัก ระหว่างออก เดินทางจากวัดหนองผือ เพื่อไปละขันธ์ที่วัดป่าสุทธาวาสในปี พ.ศ.๒๔๙๒

ระหว่างสร้างวัดนั้น โยมกิมเฮียงได้รับเป็นเจ้าภาพสร้างพระประธานถวาย หลวงปู่ฉลวยและหลวงปู่ก้าน ได้ไปรอรับพระประธานที่จะส่งมาจากกรุงเทพฯ ทางรถไฟอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ทั้งสองรูปได้ญัตติกรรมใหม่เป็นพระภิกษุธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ในวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๑ เมื่อเวลา ๒๐.๔๒ น. โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

หลวงปู่ฉลวยได้รับนามฉายาว่า “สุธมฺโม” ขณะหลวงปู่ก้านได้รับฉายาว่า “ฐิตธมฺโม”

หลังจากนั้นทั้งสองรูปจำพรรษาอยู่ที่วัดกลางโนนภู่อีก ๑ พรรษา ระหว่างนั้นหลวงปู่ฉลวยจะนิมิตเห็นภาพเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล พระนครศรีอยุธยาอยู่หลายหน พอออกพรรษาแล้ว ท่านจึงพา หลวงปู่ก้านและเณรอีกรูปจาริกกลับมายังพระนครศรีอยุธยา

ทั้งสองท่านได้ช่วยกันดูแลและบูรณะวัดใหญ่ชัยมงคลซึ่งถูก ทิ้งร้างมาตั้งแต่ครั้งเสียกรุงครั้งที่สองขึ้นใหม่ และที่นี่เองที่หลวงพ่อชา สุภัทโท ได้จาริกมาอยู่ร่วมปฏิบัติด้วยกัน เป็นเหตุให้ท่านทั้งหมดนี้มีสัมพันธ์และเกื้อกูลกันมาตลอดชีวิต ในยามอายุมากแล้ว หลวงปู่ฉลวยยังเคยไปจำพรรษาที่ถ้ำแสงเพชรซึ่งเป็นหนึ่งในวัดสาขาหนองป่าพงถึง ๒ พรรษา โดยบอกว่าเป็นการใช้คืนหลวงปู่ชา ที่ครั้งอดีตเคยมาร่วมจำพรรษาอยู่กับท่านและหลวงปู่ก้านที่วัดใหญ่ ชัยมงคลดังที่กล่าวนี้

ปี พ.ศ.๒๕๐๐ หลวงปู่ฉลวยจึงพาคณะซึ่งแน่นอนว่า รวมทั้งหลวงปู่ก้านจาริกมาถึงหัวหินและพบถิ่นที่ได้สถาปนาขึ้นเป็นวัดเขาต้นเกดในปัจจุบัน ครั้งสร้างวัดขึ้นแล้ว ท่านได้ให้หลวงปู่ก้านเป็นเจ้าอาวาส ขณะที่ท่านก็จรไปที่โน่นนี่กว่า ๒๕ ปี จึงไปตั้งวัดป่าวิทยาลัย ช่วงเวลานั้นจนกระทั่งหลวงปู่ฉลวยมรณภาพ หลวงปู่ก้านก็ได้ติดตามไปดูแลอุปฐากหลวงปู่ฉลวยอยู่เป็นนิตย์

หลวงปู่ก้านเป็นพระมหาเถระซึ่งดำรงอยู่ในวิถีแห่งพระสุปฏิปันโนมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ท่านเป็นรัตตัญญู ผู้ใดได้ไปกราบสักการะ และฟังธรรมท่าน แล้วล้วนซาบซึ้งใจ ปัจจุบันหลวงปู่ก้าน ฐิตธัมโม อายุ ๙๖ ปี เวลากราบท่านคือ ๑๕.๐๐-๑๖.๐๐ น. เพื่อรักษาธาตุขันธ์องค์ท่าน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=29551

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...