ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม วัดอุดมรัตนาราม จังหวัดสกลนคร

ประวัติและปฏิปทา พระครูบริบาลสังฆกิจ (หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม)

วัดอุดมรัตนาราม ตำบลอากาศ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร

๏ ชาติภูมิ

“พระครูบริบาลสังฆกิจ” หรือ “หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม” มีนามเดิมว่า อุ่น วงศ์วันดี เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พุทธศักราช 2452 ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา ณ บ้านอากาศ ต.อากาศ อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.อากาศอำนวย) จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อ นายอุปละ วงศ์วันดี โยมมารดาชื่อ นางบุดดี วงศ์วันดี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 7 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 5 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 7 มีชื่อตามลำดับดังนี้



(1) นางทองมี แก้วพาดี (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(2) นางต่อง ใครบุตร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(3) นางอ่อนจ้อย ใครบุตร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(4) นางไกรษร แง่มสุราช (ถึงแก่กรรมแล้ว)
(5) ด.ญ.ปุ้ม วงศ์วันดี (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก)
(6) ด.ช.เมือก วงศ์วันดี (ถึงแก่กรรมตั้งแต่ยังเด็ก)
(7) หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม (มรณภาพแล้ว)


๏ ชีวิตปฐมวัยและการศึกษาเบื้องต้น

ชีวิตในวัยเด็ก ท่านเป็นคนมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เลี้ยงยาก มักเจ็บป่วยอยู่เสมอๆ จนกระทั่งโยมบิดา-โยมมารดา กลัวว่าจะเลี้ยงไม่โต (คือไม่รอดชีวิต) พอถึงวันพระจะเอาท่านไปนั่งที่หมอน แล้วให้พี่ๆ ที่เป็นผู้หญิงทั้งหมดพากันมากราบ แล้วเอาเท้าของน้องชายลูบศีรษะ ต่อมาภายหลังเมื่อท่านอาพาธเป็นโรคปวดเท้า ท่านเคยปรารภว่า หรือจะเป็นเพราะบาปที่พวกพี่ๆ เคยเอาเท้าของท่านไปลูบศีรษะ

เมื่ออายุได้ 8-9 ปี ท่านเกิดป่วยหนักนอนซมจนโยมบิดา-โยมมารดาคิดว่าคงจะไม่รอดแล้ว จึงเอานวนผ้าฝ้าย (สำลี) มาวางไว้ที่รูจมูกของท่านเพื่อจะดูว่าสำลียังไหวติงอยู่หรือไม่ หากยังไหวติงแสดงว่ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ และต่อมาได้พากันนำท่านไปฝากไว้กับญาครูทุม (พระอธิการทุม) เจ้าอาวาสวัดกลาง (ปัจจุบันชื่อวัดกลางพระแก้ว) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่านมากนัก (คนอีสานสมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญ เวลาเจ็บป่วยต้องอาศัยพระทำพิธีให้) หลังจากนั้นปรากฏว่า อาการป่วยของท่านหายวันหายคืนจนร่างกายแข็งแรงดังเดิม และได้เริ่มเรียนหนังสือกับญาครูทุม (พระอธิการทุม) ที่วัดกลาง (วัดกลางพระแก้ว) นั้น


๏ การบรรพชา

เมื่อปี พ.ศ. 2462 อายุ 10 ปี จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดกลาง ต.อากาศ อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.อากาศอำนวย) จ.สกลนคร โดยมีพระอธิการทุม เป็นพระอุปัชฌาย์

หลังจากบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้หัดเรียนอักษรขอม อักษรธรรม พร้อมกับสามเณรแอ่น ครุฑอุทา (ต่อมาได้เป็นพระครูวิรุฬห์ธรรมานุวัตร นามเดิมคือ พระอธิการแอ่น จนฺทสาโร เจ้าคณะอำเภออากาศอำนวย วัดสระแก้วบ้านโคกไม้ล้ม ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย ปัจจุบันมรณภาพแล้ว) ตลอดถึงท่องบทสวดมนต์น้อย สวดมนต์กลาง สวดมนต์หลวง หลักคัมภีร์สัททาสังคหะตลอดถึงพระปาฏิโมกข์ จนมีความชำนาญ


๏ การอุปสมบท

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย ณ พัทธสีมาวัดกลางแห่งเดิม โดยมี พระอธิการมี (ญาครูมี) ปญฺญาณสุโต เป็นพระอุปปัชฌาย์, พระครูวิรุฬห์นวกิจ (ผาง ฐิตสทฺโธ) วัดไตรภูมิ บ้านอากาศ เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระอธิการแก้ว วัดทุ่งบ้านอากาศ เป็นพระกรรมวาจารย์

จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักของพระอุปัชฌาย์ (ไม่ทราบว่าที่ไหน) จนสามารถสอบนักธรรมตรีได้ แต่ต่อมาได้ลาสิกขา แล้วไปฝากตัวเป็นศิษย์กับ ท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ที่วัดอิสระธรรม บ้านวาใหญ่ ต.วาใหญ่ อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.อากาศอำนวย) จ.สกลนคร

๏ ญัตติเป็นธรรมยุต

ปี พ.ศ. 2473 เมื่ออายุได้ 21 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ณ อุกกุกเขปสีมา (สิมน้ำ) ที่ท่าบ้านร้างกลางลำน้ำยาม โดยมี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระราชเวที วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ และ ท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร วัดอิสระธรรม จ.สกลนคร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “อุตฺตโม” แปลว่า ผู้สูงสุด

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านมาพำนักจำพรรษากับท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร เพื่อทำการศึกษาแนวทางการปฏิบัติสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตามแบบอย่างแนวทางของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นเวลา 4 ปี ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 ได้กราบนมัสการลาพระอาจารย์สีลา มาอยู่กับศึกษากับ ท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านสามผง ต.สามผง อ.ท่าอุเทน (ปัจจุบันเป็น อ.ศรีสงคราม) จ.นครพนม จำพรรษาติดต่อกันถึง 3 ปี

ขณะที่อยู่ที่บ้านสามผงนี้ ท่านได้ศึกษาบาลีไวยกรณ์และแปลธรรมบทด้วย เมื่อถึงฤดูแล้งก็ออกเที่ยวธุดงค์ไปอยู่ที่ภูค้อ เพื่อฝึกหัดอบรมจิตใจตนเองและได้เคยทดลองฉันเจด้วย วันหนึ่ง ขณะที่ท่านเดินจงกรมอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยนั้น มีงูใหญ่มานอนขดชูคออยู่ที่หัวทางเดินจงกรมของท่าน เวลาท่านเดินไปถึงหัวทางเดินจงกรม งูนั้นก็จะโน้มหัวลงคล้ายกับเป็นอาการเคารพคารวะ ต่อมาก็เลื้อยหายไป

คราวหนึ่งที่บ้านโยมคนหนึ่ง ที่บ้านสามผงนั้น ได้เกิดมีน้ำไหลซึมออกมาจากมุมเตาไฟ แล้วครอบครัวนั้นเกิดเจ็บป่วยกันทั้งครอบครัว เวลานั้นที่บ้านสามผงมีพระมหานิกายรูปหนึ่งมีคาถาอาคมแก่กล้า โยมคนนั้นจึงนิมนต์พระมหานิกายรูปนี้มาทำพิธี แต่น้ำก็ยังคงไหลซึมอยู่ จึงได้มานิมนต์หลวงปู่ไปสวดแผ่เมตตาให้ ปรากฏว่าน้ำที่เคยไหลซึมได้แห้งหายไป และทุกคนในครอบครัวนั้นก็หายจากการเจ็บป่วย ทำให้พระมหานิกายรูปนั้นกลัวว่าจะมีคนนับถือหลวงปู่มากกว่า และจะทำให้ลาภสักการะของท่านเสื่อมไป

วันหนึ่งหลวงปู่ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ 2 ธรรมาสน์กับพระมหานิกายรูปนี้ ปรากฏว่ามีตะขาบตัวใหญ่ไต่เข้ามากัดหลวงปู่ใต้ธรรมาสน์ที่ท่านนั่งอยู่ ทำให้ท่านเป็นลมล้มลง ต้องช่วยกันปฐมพยาบาลกันอยู่นานกว่าจะฟื้นคืนสติ นับแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่ท่านจะมีอาการอาพาธปวดเท้า เท้าบวมขึ้นจนถึงปลีน่อง เป็นๆ หายๆ มาจนตลอดชีวิตของท่าน หลวงปู่บอกว่ามันเป็นกรรมเก่าของท่านที่เคยกระทำต่อกันมาก่อนในชาติก่อนๆ ชาตินี้ท่านจะไม่ถือโทษโกรธเคืองพระมหานิกายรูปนี้ จะได้เป็นอโหสิกรรม สิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที

หลวงปู่ท่านได้ศึกษาอบรมทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระกับท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านสามผง จ.นครพนม เป็นเวลานานถึง 3 พรรษา แล้วจึงกราบนมัสการลาท่านพระอาจารย์เกิ่ง กลับมาพำนักจำพรรษากับท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ที่วัดอิสระธรรม จ.สกลนคร อีกครั้งหนึ่ง

๏ สร้างวัดอุดมรัตนาราม

ต่อมา พ.ศ. 2480 ท่านอยากจะกลับมาจำพรรษาที่บ้านอากาศ ซึ่งเป็นถิ่นมาตุภูมิของท่าน และมีความประสงค์จะสร้างวัดของพระฝ่ายธรรมยุตขึ้นที่บ้านอากาศ เพราะขณะนั้นวัดฝ่ายธรรมยุติยังไม่มี จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์สีลา มาดูสถานที่สำหรับจะสร้างวัด ได้พบสถานที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านอากาศ อยู่ใกล้ๆ กับลำน้ำยาม (ปัจจุบันอยู่หลังปศุสัตว์อำเภอ) ซึ่งครั้งหนึ่ง ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล เคยมาพำนักจำพรรษาอยู่เมื่อปี พ.ศ. 2469

แต่ท่านพิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสมนักเพราะอยู่ใกล้กับทางใหญ่ เป็นที่สัญจรไปมาของผู้คน จึงทำให้ไม่สงบสงัดเท่าที่ควร ท่านจึงเลือกเอาสถานที่แห่งใหม่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสถานที่แห่งเดิม เพราะเห็นว่าสงบสงัดดี ดังนั้น ท่านจึงได้ปรึกษากับคณะศรัทธาญาติโยมบ้านอากาศหลายคน เช่น นายพุทธวงศ์ แก้วพาดี กำนันตำบลอากาศ, นายจารย์เขียว สติยศ, นายเขียว แง่มสุราช แพทย์ประจำตำบลอากาศ เป็นต้น แล้วได้พากันร่วมสร้างวัดขึ้นมา ในครั้งแรกคณะศรัทธาญาติโยมส่วนมากไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าสถานที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านและรกชัฏมาก อีกทั้งเต็มไปด้วยป่าไม้นานาชนิดและยังมีสัตว์ร้ายต่างๆ อีกด้วย เช่น เสือ ฯลฯ แต่ท่านไม่กลัวในเรื่องสัตว์ร้ายนั้น และได้อธิบายให้คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลายเข้าใจว่า การอยู่ในที่อันสงบสงัดของพระเณรเหมาะแก่การทำความเพียรเพื่อแผดเผากิเลส และทำความหลุดพ้นให้แก่จิตใจตามหลักของพระพุทธศาสนา

เมื่อญาติโยมเข้าใจและยินยอมแล้ว ท่านและพระเณรอีก 3 รูป คือ พระคำพอง ญาณกิตติ (ปัจจุบันลาสิกขาแล้ว อยู่ที่บ้านอากาศ คือ คุณพ่อคำพอง อินธิสิทธิ์), พระคำภา โสภโณ (ลาสิกขาแล้ว) และสามเณรแถว ครุฑอุทา (ลาสิกขาแล้ว) ได้พากันเริ่มต้นสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น โดยหาไม้มาสร้างกุฏิเป็นอันดับแรก ได้กุฏิเก่าจากวัดศรีโพนเมือง บ้านอากาศ 1 หลัง และต่อมาได้สร้างกุฏิเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนได้ถึง 10 หลัง พระภิกษุสามเณรก็มีมากขึ้น

จากนั้นได้สร้างศาลาโรงธรรมขึ้น 1 หลัง โดยมีนายป้อง วงศ์วันดี เป็นช่างออกแบบแปลนก่อสร้าง และขณะเดียวกันก็สร้างกุฏิเพิ่มขึ้นอีก เพราะปรากฏว่ามีลูกหลานชาวบ้านอากาศและบ้านอื่นๆ มีความเลื่อมใสศรัทธามาบวชกับท่านเป็นจำนวนมาก

พ.ศ. 2480 ท่านได้ทำหนังสือถึงกรมการศาสนาเพื่อขออนุญาตสร้างวัด และก็ได้รับอนุญาตให้สร้างวัดได้ โดยตั้งชื่อวัดว่า “อุดมรัตนาราม” เพื่อให้สอดคล้องกับฉายาของท่าน

หลายปีต่อมาพระภิกษุสามเณรมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และญาติโยมที่สนใจในการปฏิบัติธรรมก็มากขึ้น ประกอบกับท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านจึงพิจารณาเห็นว่าการสร้างวัดนั้น ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบต้องมีพัทธสีมา จึงได้ประชุมญาติโยมทำหนังสือขอพระราชทานวิสุงคามสีมาเพื่อสร้างอุโบสถ ในปี พ.ศ. 2502 แล้วเสร็จสมบูรณ์และประกอบพิธีผูกพัทธสีมา เมื่อปี พ.ศ. 2517 ปัจจุบันวัดมีเนื้อที่ 38 ไร่ 3 งาน 92 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ ยาว 7 เส้น 6 วา 2 ศอก จดทุ่งนา, ทิศใต้ ยาว 7 เส้น จดทุ่งนา, ทิศตะวันออก ยาว 6 เส้น 7 วา จดทางสาธารณะประโยชน์, ทิศตะวันตก ยาว 5 เส้น จดฝายน้ำล้น


๏ ตั้งสำนักเรียนวัดอุดมรัตนาราม

เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่มีความสนใจในการศึกษาเล่าเรียนมาก ได้ส่งเสริมให้กุลบุตรกุลธิดาศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยในทางพระพุทธศาสนา เพื่อจะได้นำเอาหลักธรรมวินัยที่ตนได้ศึกษาเล่าเรียนมานั้น ไปประพฤติปฏิบัติอันจะนำประโยชน์มาสู่ตนเองและสังคมต่อไป ดังนั้นท่านจึงขอตั้งสำนักเรียนขึ้นในปี พ.ศ. 2496

ครั้งแรกท่านเป็นครูสอนเอง ทั้งชั้นนักธรรมตรี-โท-เอก ครั้นต่อมาเมื่อมีพระภิกษุสามเณรสอบได้นักธรรมชั้นเอกแล้ว ก็ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนแทนท่าน ในปีหนึ่งๆ มีพระภิกษุสามเณรสอบธรรมสนามหลวงได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และหลายปีต่อมาก็มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้น จึงได้เลื่อนสำนักเรียนขึ้นเป็นสำนักเรียนชั้นโท


๏ งานด้านการศึกษา

พ.ศ. 2474 ได้รับแต่งตั้งเป็นครูปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง) ต.วาใหญ่ อ.วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.อากาศอำนวย) จ.สกลนคร

พ.ศ. 2477 ได้รับแต่งตั้งเป็นครูปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ต.สามผง อ.ท่าอุเทน (ปัจจุบันเป็น อ.ศรีสงคราม) จ.นครพนม

พ.ศ. 2496 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าสำนัก ณ สำนักเรียนวัดอุดมรัตนาราม


๏ งานด้านการเผยแผ่

พ.ศ. 2507 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระธรรมทูตสายที่ 5 ประจำจังหวัดสกลนคร


๏ งานด้านสาธารณูปการ

พ.ศ. 2480 เริ่มสร้างวัดอุดมรัตนาราม และศาลาการเปรียญหลังเก่า สั้นค่าก่อสร้างประมาณ 200,000 บาท

พ.ศ. 2502 เริ่มสร้างอุโบสถ แล้วเสร็จสมบูรณ์และประกอบพิธีผูกพัทธสีมา ในปี พ.ศ. 2517 สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ 2,500,000 บาท

พ.ศ. 2519 เริ่มก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ แล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2540 สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ 1,800,000 บาท


๏ งานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ. 2496 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. 2508 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลอากาศ (ธรรมยุต)


๏ สมณศักดิ์ที่ได้รับ

พ.ศ. 2514 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ “พระครูบริบาลสังฆกิจ”

๏ ปฏิปทาและข้อวัตรปฏิบัติ

นับตั้งแต่วันที่ท่านอุปสมบทเข้ามาในคณะกรรมฐานแล้ว ก็เพียรตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมให้ความยินดีในอกุศลธรรมฝ่ายต่ำเข้าครอบงำ จนเป็นเหตุให้ล่วงละเมิดสิกขาบทน้อยใหญ่ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยวในการปฏิบัติกำจัดกิเลส เพื่อมุ่งหวังความหลุดพ้นอย่างแท้จริง อันเป็นผลมาจากการได้รับการอบรมและฝึกฝนทั้งทางด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จากท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร

อีกทั้งต่อมาเมื่อ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต กลับจากการไปปฏิบัติธรรมในเขต จ.เชียงใหม่ ที่ยาวนานถึงกว่า 10 ปี มาจำพรรษาในเขต จ.สกลนครแล้ว ท่านได้หาโอกาสไปนมัสการและศึกษาธรรมปฏิบัติจากท่านพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในระยะที่ท่านพระอาจารย์มั่นมาพำนักจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองผือ หรือวัดป่าภูริทัตตถิราวาส ต.นาใน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ระหว่าง พ.ศ. 2488-2492 ซึ่งต้องบุกป่าฝ่าดงเข้าไปอย่างลำบาก โดยบางครั้งต้องใช้เกวียนเพราะท่านมักอาพาธด้วยเท้าบวม จึงเดินมากไม่ค่อยได้ (ทั้งนี้ในบางครั้งท่านได้พา หลวงปู่ผ่าน ปญฺญาปทีโป แห่งวัดป่าประทีปปุญญาราม บ้านเซือม ต.เซือม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร ไปด้วย ซึ่งเวลานั้นหลวงปู่ผ่านพึ่งบวชใหม่เป็นลูกศิษย์อยู่กับท่าน)

ท่านเป็นผู้พูดน้อย มีคำเทศนาน้อย และเป็นผู้มีนิสัยมักน้อยสันโดษ ไม่ใช้สิ่งของฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะในเรื่องผ้านุ่งผ้าห่ม ท่านจะอธิษฐานใช้เฉพาะผ้าที่จำเป็นเท่านั้น โดยท่านจะใช้สบง จีวร สังฆาฏิ ผ้าอาบน้ำ อย่างละผืน ส่วนอังสะ มี 2 ผืน เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าท่านใช้ผ้าอย่างฟุ่มเฟือยจนกลายเป็นอติเรกจีวรอย่างมากมาย ในส่วนของปัจจัย (คือเงิน) และลาภสักการะอื่น ท่านจะไม่รับไว้เป็นการส่วนตัว แต่จะให้คณะกรรมการของวัดเก็บไว้เป็นกองกลางของวัด ดังนั้นเมื่อท่านมรณภาพจึงไม่มีปัจจัยเป็นของส่วนตัวแม้แต่สักบาทเดียว

ในการทำความเพียรของท่าน ถ้าเป็นวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา ท่านจะพาญาติโยมทำความเพียรตลอดคืน เรียกว่าให้สมาทานเนสัชชิกังคธุดงค์ คือไม่นอนตลอดคืน หากเป็นวันธรรมดาตอนหัวค่ำหลังจากทำวัตรเย็น ท่านจะพักผ่อนจำวัดเสียก่อน ครั้นพอถึงเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง ท่านจะลุกขึ้นมาทำความเพียร โดยการเดินจงกรม คืนไหนที่ฝนไม่ตกท่านจะเดินอยู่ข้างอุโบสถ ถ้าคืนไหนฝนตกท่านจะเดินที่ศาลา พอถึง ตี 2 จะเปลี่ยนมานั่งสมาธิ, ตี 3 จะพักผ่อนอีก, ตี 4 ลุกขึ้นมานั่งสมาธิจนสว่าง แล้วล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมตัวออกบิณฑบาต

บางครั้งโรคปวดเท้าของท่านกำเริบขึ้นมาก็ออกบิณฑบาตไม่ได้ เดินจงกรมก็ไม่ได้ ต้องภาวนาด้วยการนั่งและนอนเท่านั้น หากจะเดินไปไหนมาไหนต้องอาศัยลูกศิษย์ช่วยพยุง การได้รับทุกขเวทนาจากอาพาธที่เป็นๆ หายๆ นี้ ทำให้ท่านได้อาศัยทุกขเวทนานี้มาพิจารณาเห็นความจริงของสังขารร่างกาย ว่าเป็นกองทุกข์ ไม่น่ายินดีลุ่มหลง นับว่าเป็นประโยชน์ต่อจิตใจของท่านมาก

ยามเช้าเวลาไปบิณฑบาต ท่านมักไปไม่ไกล แล้วมากลับมารออยู่ที่วัด ส่วนพระเณรต้องเดินไปไกลประมาณ 2-3 กม. เมื่อกลับมาถึงวัดแล้ว พระเณรทุกรูปพร้อมกันทำวัตรเช้า ส่วนหลวงปู่ท่านจะทำเองต่างหาก เมื่อพระเณรทำวัตรเสร็จ กราบพระและกราบท่านแล้ว ญาติโยมจะนำอาหารมาประเคน แจกอาหารแล้วให้พร เมื่อฉันภัตตาหาร ล้างบาตร เช็ดบาตร เก็บสื่อสาดอาสนะปัดกวาดศาลาเสร็จแล้ว พระเณรพากันไปศึกษาพระปริยัติธรรม ส่วนหลวงปู่จะรับแขกอยู่ที่ศาลา จะมีญาติโยมมากราบนมัสการไม่ขาด

ตอนบ่ายหากไม่มีญาติโยมมากราบ ท่านมักจะพาออกไปที่ลำน้ำยาม ถ้าเป็นหน้าฝนก็จะพาเก็บหน่อไม้ไผ่ป่า เก็บหมากผีพ้วน หมากกล้วยเห็น หมากค้อ หรือพายเรือขึ้นไปหาเก็บเห็ดที่ภูกระแต บ้านแพงน้อย เมื่อกลับมาก็นำสิ่งของเหล่านั้นไปส่งให้แม่ชีที่โรงครัว เพื่อจัดทำเป็นอาหารถวายพระเณรในวันรุ่งขึ้น

เวลาค่ำจะตีระฆังให้พระเณรมารวมกันทำวัตรเย็น เสร็จแล้วเอาหนังสือวินัยมุข เล่ม 1 เล่ม 2 หรือหนังสือต้นบัญญัติมาอ่านให้พระเณรฟัง อบรมข้อวัตรปฏิบัติ จบแล้วแจกเทียนไของค์ละ 2-3 เล่ม เพื่อให้ไปจุดอ่านหนังสือ เพราะเวลานั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนทุกวันนี้

และเนื่องจากท่านเป็นพระอุปัชฌายะ เมื่อมีญาติโยมนำลูกหลานมาฝากให้บวช ท่านจะรับไว้และฝึกอบรมให้รู้จักการรักษาวินัย รู้จักการทำข้อวัตรกิจวัตรก่อน ไม่ได้บวชง่ายๆ ต้องอยู่สักเดือนหรือ 2 เดือน เพื่อท่องขานนาคให้ได้เสียก่อนจึงจะได้บวช การท่องขานนาคก็จะต้องให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทดสอบดูว่าผู้ที่มาบวชมีศรัทธาแน่วแน่แค่ไหน ถ้าศรัทธาไม่แน่วแน่มั่นคงก็จะลาสึกตั้งแต่ยังเป็นนาค

ถ้าบวชเป็นเณร หลวงปู่ท่านจะรับภาระจัดหาเครื่องบริขารให้ ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ นอกจากผู้ที่จะมาบวชเป็นพระและมีญาติพี่น้องต้องการเป็นเจ้าภาพ จึงให้ทางญาติพี่น้องของผู้จะบวชเป็นผู้จัดการหาเครื่องบริขาร พระเณรที่มาบวชอยู่กับท่าน ท่านจะเอาใจใส่ดูแลแนะนำการปฏิบัติที่ถูกที่ควรไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ให้ความอบอุ่นเสมอภาคกันหมด ตลอดจนอนุเคราะห์สงเคราะห์ทั้งอามิสและธรรมะอย่างเสมอต้องเสมอปลาย ทำให้พระเณรรักและเคารพในเมตตาธรรมของท่านเป็นอย่างยิ่ง

๏ การอาพาธและการมรณภาพ

พ.ศ. 2523 ท่านเริ่มอาพาธ และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เมื่ออาการทุเลาจึงได้กลับวัด แต่ก็ยังไม่หายขาด คณะศิษย์จึงนิมนต์ท่านไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ อาการก็พอทรงตัวอยู่ได้บ้าง โดยคณะแพทย์ให้ยามาฉัน และแนะนำให้มารักษาตัวที่วัดอุดมรัตนาราม เพื่อจะได้พักผ่อนมากๆ

ครั้นต่อมาอาการทรุดลง จึงนำท่านไปรับการรักษาที่โรงพาบาลสกลนคร เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523 อาการยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่กลางเดือนลงไปปลายเดือน อาการทรุดหนักจากไม่รู้สึกตัว จนแพทย์ลงความเห็นว่าคงอยู่ได้ไม่นาน และได้เอกซเรย์ปอดของท่านดู พบว่ามีแต่รู เหมือนถูกอะไรแทง

แต่ครั้นถึงวันที่ 27 พฤษภาคม ท่านกลับรู้สึกตัวขึ้นมาเหมือนไม่ได้เป็นอะไรมาก และเมื่อทราบว่าวันวิสาขบูชาตรงกับวันที่ 29 พฤษภาคม ท่านจึงบอกกับพระเณรตลอดจนคณะศรัทธาญาติโยมที่เฝ้าว่า อยากจะกลับวัดอุดมรัตนาราม เพื่อร่วมบำเพ็ญกุศลในวันวิสาขบูชาดังที่เคยกระทำมาทุกครั้ง เนื่องจากตามปกติแล้วเมื่อถึงวันมาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา และออกพรรษา ท่านจะนำพาพระเณร แม่ชี และศรัทธาญาติโยม ที่มาจำศีลที่วัดทำความเพียร โดยใช้อิริยบถ 3 คือ ยืน เดิน และนั่ง ตลอดทั้งคืน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

และอีกประการหนึ่งที่ทำให้หลวงปู่ท่านอยากกลับคือ ขณะที่ท่านยังอาพาธ มีโยมบ้านวา ต.วาใหญ่ อ.อากาศอำนวย นำวัตถุมงคลเครื่องรางของขลังที่เป็นของโบราณมาฝากไว้กับท่าน เพื่อให้ท่านแผ่เมตตา เพ่งพลังจิตเพื่อให้วัตถุนั้นขลังยิ่งขึ้น เมื่อโยมนั้นทราบว่าท่านอาพาธหนักทำท่าจะไม่รอด จึงมาทวงคืน ท่านจึงอยากจะกลับวัดไปหาวัตถุมงคลนั้นคืนให้เจ้าของตามที่ต้องการ

ท่านกลับถึงวัดอุดมรัตนาราม ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 วันนั้นเป็นวันโกน ซึ่งตรงกับวันพุธ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 7 ท่านพระอาจารย์ศูนย์ จนฺทสุวณฺโณ (วัดอิสระธรรม จ.สกลนคร) ได้รับภาระปลงเกศาให้ท่าน จากนั้นท่านก็หาวัตถุมงคลของโยมบ้านวาจนพบและก็ได้ส่งคืนเจ้าของเขาไป

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 เนื่องในวันวิสาขบูชา ท่านได้ให้โอวาทแก่พระภิกษุ สามเณร แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา และญาติโยมที่มาเยี่ยมอาการอาพาธของท่าน มีใจความว่า “สพฺพปาบสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทธาน สาสนํ” การไม่ทำความชั่วทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึ่ง การยังจิตของตนให้ผ่องใสหนึ่ง นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ท่านอธิบายว่า เมื่อเราท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามนี้แล้ว ย่อมยังพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง คนเรานับถือศาสนาทุกวันนี้ ถือกันแต่เพียงในสำมะโนครัว ว่าถือศาสนาพุทธเท่านั้น ไม่ได้ปฏิบัติกันจริงจัง บ้านเมืองจึงมีความเดือนร้อน ถ้าทุกคนละเว้นความชั่วแล้วทำความดี ความสุขความเจริญย่อมจะมีอย่างแน่นอน ธรรม 3 ประการ คือ การไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี ทำใจให้ผ่องใส อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “หัวใจพระพุทธศาสนา”

รุ่งเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันศุกร์ แรม 1 ค่ำ เดือน 7 หลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว ท่านจะกลับไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสกลนครอีก เพราะขออนุญาตแพทย์มาที่วัดเพียง 2 วันเท่านั้น ก่อนที่ท่านจะขึ้นรถเดินทางไปโรงพยาบาล ท่านได้พูดกับพระเณรและญาติโยมว่า “จะไปให้เขาฉีดยาให้ จักหน่อยก็จะได้กลับมาแล้ว”

ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าท่านคงไม่เป็นอะไรมาก ไม่นานแพทย์คงจะให้กลับวัด เมื่อถึงโรงพยาบาลสกลนคร หลวงปู่ได้เข้าพักที่ห้องเบอร์ 8 ตึกสงฆ์อาพาธพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร หลังจากท่านฉันยาหลังฉันเพลเสร็จ อาการท่านกลับกำเริบ อาเจียน และอาการทรุดหนักลง จนถึงแก่มรณภาพลงในที่สุดเมื่อเวลา 16.30 น. ของวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ด้วยอาการสงบ ท่ามกลางคณะแพทย์และคณะศิษย์หลายคน สิริอายุรวมได้ 71 ปี พรรษา 50 เหลือไว้เพียงแต่คุโณปการยิ่งที่มีต่อพระศาสนา และคำสอนของหลวงปู่ที่บอกให้ลูกศิษย์ลูกหาทุกคนจงทำความดี ทางคณะศิษย์ได้นำศพของท่านกลับวัดในวันนั้น สมกับคำพูดของท่านที่สั่งไว้ก่อนออกเดินทางว่า “จักหน่อย” ซึ่งแปลว่า “เดี๋ยวเดียว หรือไม่นาน”

ขณะที่ท่านยังพักรักษาองค์อยู่ที่ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลสกลนครนั้น วันหนึ่งแพทย์สั่งให้เลือดท่าน แต่เนื่องจากไม่มีบุรุษพยาบาลจึงให้พยาบาลหญิงมา แต่ท่านได้บอกว่า ท่านรักษาศีลมานานหลายปี โยมผู้หญิงไม่เคยแตะต้อง อยากจะขอให้โยมผู้ชายมาจัดการให้ พยาบาลหญิงจึงไม่พอใจ หาว่าผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือ ครั้นตกลงว่าเมื่อหาโยมผู้ชายไม่ได้ จึงยินยอมให้โยมผู้หญิงเป็นผู้ทำ

เมื่อเขาเอาเข็มแทงเข้าเส้นเลือดจากขวดที่ห้อยออยู่ในที่ที่มั่นคงถาวรแล้ว ปรากฏว่าหลังจากพยาบาลออกไปได้สักพัก ขวดเลือดที่ห้อยอยู่บนเสาที่แข็งแรง ก็เกิดตกลงแตกกระจาย ทำให้พื้นห้องแดงฉานไปด้วยเลือด

หลวงปู่จึงได้พูดขึ้นว่า “นี่แหละ บอกแล้วว่าไม่ต้องการให้ผู้หญิงทำ มันจึงเป็นอย่างนี้”

ลูกศิษย์ที่เฝ้าท่านจึงได้ไปเรียกพยาบาลหญิงคนนั้นมาดู เธอก็แปลกใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นอย่างนั้น แต่เธอก็ว่ามันเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19902

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...