ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) จังหวัดสกลนคร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อว้าน เขมโก

วัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) ตำบลตองโขบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร

• นามเดิม

อว้าน ศรีบุญโฮม

• บิดามารดา

นายออ และนางคำตา ศรีบุญโฮม

• เกิด

วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ตรงกับวันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน ณ บ้านนามน ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร



• บรรพชา

พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดป่าสุทธาวาส บ้านคำสะอาด ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมือง จ.สกลนคร ต่อมาได้ติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ไปอยู่ที่วัดป่านิโคธาราม บ้านหนองบัวบาน ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี พ.ศ. ๒๔๙๘ ได้เข้ารับการคัดเลือกเกณฑ์ทหาร ปลดประจำการเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐

• อุปสมบท

เมื่อพ้นจากทหารแล้ว จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เมื่ออายุได้ ๒๕ ปีบริบูรณ์ โดยมี พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมบทในน้ำ (อุทกุกเขปสีมา) เขตบ้านโคก เอาน้ำเป็นเขตสีมา มีศาลาอยู่กลางน้ำ สมัยก่อนไม่ได้ขอวิสุงคามสีมา มีหนองน้ำที่ไหนเขาก็ไปปลูกศาลาเอาไว้ ทำสะพานเดินเข้าไป เวลาอุปสมบทก็ประกอบพิธีกันที่ศาลากลางน้ำ

หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้มาพำนักจำพรรษา ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ บ้านนาสีนวล ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร กับหลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ต่อมาได้มาศึกษาธรรมปฏิบัติกับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโคธาราม บ้านหนองบัวบาน ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

• ปัจจุบัน

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้นมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) บ้านนามน ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ๔๗๒๘๐

• อาจริยธรรม

“วัดป่านาคนิมิตต์” แห่งนี้ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ มาสร้างครั้งแรก อาตมา (หลวงปู่อว้าน เขมโก) เองยังไม่ได้เกิดนะ เดิมวัดแห่งนี้มีท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลมหาเถระ เดินธุดงค์มาก่อน ท่านพระอาจารย์เสาร์มาพักรุกขมูล ครั้นต่อมาท่านก็เดินธุดงค์ต่อไป แล้วท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็เดินธุดงค์ตามรอยท่านพระอาจารย์เสาร์มา ท่านพระอาจารย์เสาร์พักที่ไหน ท่านพระอาจารย์มั่นก็พักที่นั่น ท่านพระอาจารย์มั่นมาเห็นพื้นที่สัปปายะ ท่านก็เลยปรารภกับโยมว่า “คิดจะสร้างเป็นวัด”

โยมเขาก็เลยเอาเจ้าหน้าที่มารังวัดจับจอง แล้วยกถวายท่าน ท่านก็ได้สร้างพอได้อยู่อาศัย แล้วท่านก็เดินธุดงค์ไปทางเชียงใหม่หลายปี จากนั้นท่านก็ย้อนคืนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ ๒ ประมาณสงครามญี่ปุ่น (สงครามโลกครั้งที่ ๒) อาตมาไม่ทันได้รับการอบรมจากท่านพระอาจารย์มั่น เพราะยังเป็นเด็ก เรื่องอะไรๆ ก็จำจากครูบาอาจารย์เล่า คือตอนบวช บวชอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่อ่อนท่านเล่าประวัติท่านพระอาจารย์มั่นให้อาตมาฟัง ที่วัดป่านิโคธาราม จึงเป็นธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์ นำมาเล่าขานสู่กันฟัง

ตอนที่ท่านพระอาจารย์มั่นมาพักอยู่ที่วัดป่าบ้านนามนนั้น มีพระผู้ใหญ่เข้ามาพักอาศัยอยู่ร่วมกันหลายองค์ด้วยกัน เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่ฝั้น อาจาโร และหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ครูบาอาจารย์แทบทุกองค์มาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น และมีที่พักกระจายกันอยู่ เช่น หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ ก็อยู่บ้านโคก ท่านเจ้าคุณวิริยังค์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) อยู่บ้านห้วยแคน พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) และ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร อยู่บ้านห้วยหีบ แต่ก็ไปๆ มาๆ ถ้าถึงวันพระใหญ่ก็มารวมกันทำอุโบสถ รับโอวาทจากท่านแล้วก็เดินกลับวัด เดี๋ยวพระเข้าเดี๋ยวพระออก ต้องนับทุกวัน ในตอนเป็นเด็ก พระท่านผ่านมาก็มองไกลๆ จะมาผ่านบ้าน ถ้ามีพระมาเพิ่ม อาตมาก็เตรียมห่ออาหารให้พอเพียงกับพระมาใหม่ อาตมาเคยมีโอกาสได้ใส่บาตรท่านพระอาจารย์มั่น

• ความเป็นมาของวัดป่านาคนิมิตต์

โยมชาวบ้านนามนเขาจะปลูกสร้างกุฏิหลังนี้แหละ (กุฏิท่านพระอาจารย์มั่น) เขาเตรียมไม้ไว้ว่าจะยกวันพรุ่งนี้ ในตอนกลางคืนพญานาคเขามาทำรอยเอาไว้ให้ ตอนเช้าโยมเขามาว่าจะยกกุฏิ ท่านพระอาจารย์มั่น ก็ชี้บอกโยมเขาว่า “นั่นแหละ พญานาคทำรอยไว้ให้แล้ว” โยมเขาไปดู เขาว่าเป็นรอยกลมๆ วงกลมจึงก่นหลุม (ขุดหลุม) ตามรอยนั่นแหละ แล้วท่านพระอาจารย์มั่นก็พูดบอกโยมเขาว่า “วัดนี้ให้ชื่อว่า วัดป่านาคนิมิตต์” แต่ชาวบ้านทั่วไป วัดอยู่บ้านไหนเขาก็เรียกวัดป่าบ้านนั้นแหละ เช่น วัดป่าบ้านนามน วัดป่าบ้านโคก วัดป่าบ้านห้วยแคน เป็นต้น เอาบ้านเป็นชื่อวัด อยู่บ้านไหนก็เอาบ้านนั่นแหละตั้งเป็นชื่อวัด

สมัยก่อนเราขอกับทางการ จึงเอาชื่อ “วัดป่านาคนิมิตต์” ช่วงที่พญานาคมาทำรอยไว้ คือช่วงที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักจำพรรษาอยู่วัดนี้ เขาทำรอยไว้ที่นั่น (กุฏิท่านพระอาจารย์มั่น) แล้วเขาก็เลื้อยมาที่นี่ (มาที่ศาลา) เมื่อก่อนที่นี่เป็นป่า เขาลอย (เลื้อย) มา โยมเขาเอาเท้าไปขวางดู (วัดดู) สุดรอยเท้าเขาพอดีนะผอด (รอยของมัน) นั้น วัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) หลังจากที่พญานาคมาแสดงนิมิตต์ไว้ จากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีอีก แต่อาตมาเองมาพักอยู่ที่วัดป่านาคนิมิตต์ เดินจงกรมกลางวันจิตนึกถึงนาค พอนึกถึงนาคงูคอแดงไม่รู้ออกมาจากไหนน่ะ ปรากฏว่ามีทั้งข้างหน้า ถอยหลังก็มี ข้างซ้าย ข้างขวาก็มีไปหมด อาตมาจะไปไหนก็ไปไม่ได้ ต้องยืนอยู่กับที่ เขาเลื้อยผ่านไปผ่านมาอยู่นั่นแหละ สักครู่เดี๋ยวก็หาย ไม่รู้หายไปไหนหมด งูคอแดงตัวไม่ใหญ่ คอมันแดงๆ พอนึกถึงเขา เขาก็ปรากฏให้รู้ว่ามีจริง

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านไม่จำพรรษาซ้ำที่เก่านะ ท่านจำพรรษาซ้ำที่เก่าเฉพาะบ้านหนองผือแห่งเดียว อย่างท่านมาอยู่ที่นี่คือบ้านนามนท่านก็จำพรรษา บ้านโคกท่านก็จำพรรษา บ้านห้วยแคน บ้านห้วยหีบ ท่านก็ไปมาอยู่บ้าง ท่านมาครั้งที่สองก็วนเวียนประมาณ ๒-๓ ปี ออกจากนี่แล้วจึงไปอยู่บ้านหนองผือ

แต่เดิมวัดป่าบ้านนามนเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลาง ก่อนย้ายไปบ้านหนองผือ พระที่บ้านห้วยหีบ บ้านห้วยแคน บ้านโคกนั้นก็ต้องมาร่วมลงอุโบสถที่นี่ (บ้านนามน), บ้านโคก (บ้านหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ) หลวงปู่คำพอง ติสฺโส จำพรรษาอยู่บ้านโคก กับหลวงปู่อุ่น กลฺยาณธมฺโม ส่วนวัดป่าบ้านนามนนั้นพอท่านพระอาจารย์มั่นจากไปแล้ว หลวงปู่กงมานั่นแหละเป็นผู้ดูแลแถวนี้เพราะบ้านโคกเป็นบ้านของหลวงปู่กงมา จึงอยู่ในความดูแลของท่าน

ครั้นท่านพระอาจารย์มั่นเดินธุดงค์ออกจากวัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) ไปแล้ว วัดนี้ก็รกร้าง เมื่อก่อนอาณาเขตมันก็กว้างไกล พอท่านพระอาจารย์มั่นไปอยู่บ้านหนองผือแล้ว ชาวบ้านรุกล้ำมาเอาเกือบหมดนะ ครั้งแรกเขาเหลือไว้เพียงแค่ ๕ ไร่ เมื่อก่อนส้วมก็อยู่ภายในวัด ที่นี้จะไปส้วมก็ต้องข้ามรั้วไร่เขาไปนะ หลวงปู่กงมาท่านพูดกับเขาไม่ได้ ท่านก็เลยทิ้ง แล้วท่านขึ้นไปอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์

ท่านบอกว่า “เขาอยากได้ให้เขาซะ เรามาเอาภูเขานี่ (วัดดอยธรรมเจดีย์) ไม่มีใครอยากได้” ต่อมา พระครูอุดมธรรมคุณ (หลวงปู่มหาทองสุก สุจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส (ในขณะนั้น) จ.สกลนคร ได้ข่าวว่าวัดป่านาคนิมิตต์ (วัดป่าบ้านนามน) หมดไปแล้ว ท่านเลยออกมาดู ก็พบว่าเป็นจริง เวลาจะไปส้วมนั้นก็ต้องข้ามรั้วสวนเขาเข้าไป เมื่อเป็นเช่นนั้นจริง ท่านเลยพูดกับชาวบ้านว่า “พื้นที่วัดนี้ได้จากนี่ไปแค่นี้ก็เอาหรอกโยม เพราะเป็นวัดคู่กันกับวัดป่าสุทธาวาส เป็นวัดพระอาจารย์มั่น”

• ท่านพระอาจารย์มั่นที่ได้พบตอนเด็ก

อาตมาออกโรงเรียนแล้ว ก็ได้ติดตามหลวงปู่กงมาไปกราบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตมหาเถระ ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ไปพักที่นั่น ๓ คืน พักกับหลวงปู่กงมา พอไปถึง ท่านพระอาจารย์มั่นบ่นเกี่ยวกับพระอาจารย์ถวิล จิณฺณธมฺโม ซึ่งท่านเอาปูนซีเมนต์หุ้มต้นเสากันมดไม่ให้ขึ้น ท่านบ่นแล้วบ่นเล่าว่า “ไม่ดีๆ” เช้ามาหลวงปู่กงมาก็พาหมู่ทุบแล้วก็ทำใหม่ พระอาจารย์ถวิลก็มาช่วยทำอีกอย่างเก่า ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเดินดูตามลูกกรงส่องมาดู ท่านว่า “ท่านถวิล มันเฮ็ดหยังคือไก่เขี่ยเนี่ย” ท่านพูดให้พระอาจารย์ถวิลองค์เดียว ตอนอาตมาเป็นเด็กก็ได้ยิน ได้ช่วยท่านก่อปูนด้วย แต่ไม่รู้จักความหมาย

ต่อเมื่ออาตมาเข้ามาบวชคราวนี้ ก็ได้นำคำพูดคำนั้นมาศึกษาดู แปลว่ายังไง ก็พระอาจารย์ถวิลท่านเก่งทางปูน ท่านเป็นช่างปูน แต่ทำให้ท่านพระอาจารย์มั่นติแล้วติเล่า นำมาศึกษาดูก็ได้ความว่า “ท่านเตือนสติ ท่านให้มีสติสำรวม ส่งจิตไปอื่นไม่ได้ แล้วถ้าส่งจิตไปเพื่อความสวยความงามนั้นไม่ได้ ท่านพระอาจารย์มั่นอนุญาตให้ทำได้ถ้าทำเพื่อให้แข็งแรงทนทานตั้งอยู่ได้นาน แต่ถ้าจะเพ่งเพื่อความสวยความงามไว้อวดคนอื่นอย่างนั้นไม่ได้” ท่านพระอาจารย์มั่นท่านคุมสติ เมื่อตอนอาตมาเข้าไปที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) อาตมาได้เข้าไปกับหลวงปู่กงมาตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นหลวงปู่บ้านตาด (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ก็อยู่ที่วัดด้วย ท่านใช้อาตมาให้ไปเก็บพลูเคี้ยวหมากมาถวายท่านพระอาจารย์มั่น

อาตมาไปพักอยู่ที่นั่น ๓ คืน อย่างอื่นที่เห็นแปลกๆ มีแมวตัวหนึ่ง แมวเหลือง ตอนกลางคืน (มัน) ก็ไปฟังเทศน์ท่านทุกคืน พระก็นั่งตามระเบียงรอบนอกนั่นแหละ ท่านพระอาจารย์มั่นองค์เดียวนั่งข้างบน แมวตัวนั้นก็หมอบอยู่ตรงหน้าท่านพระอาจารย์มั่น จนกระทั่งเลิกนั่นแหละจึงไป ทั้ง ๓ คืนเห็นแมวตัวนั้นตลอด ตอนเช้าก็ไปหมอบอยู่ตรงที่ท่านพระอาจารย์มั่นฉันนั่นแหละ ไม่ได้ร้องอะไร จนกว่าท่านฉันเสร็จ ท่านถึงให้แมวตัวนั้นกิน แล้วกลางวันก็ไปอยู่กุฏิเณร อยู่กระต๊อบกับเณร กลางคืน ๓ คืนเห็นหมอบอยู่ทุกคืนแมวตัวนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่นที่อาตมาเคยได้พบนั้นมีความอบอุ่น ท่านค่อนข้างผอม แต่น่าเกรงขามจะว่าดุก็ไม่ดุหรอก “อะไรที่ผิดทางท่านตะโกน ถ้าผิดทางของท่านนะ” หลวงปู่อ่อนเคยเล่าว่า “หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านออกบวช ท่านก็สละสมบัติออกบวช ท่านไม่มีลูก บวชแล้วท่านมาสร้างโบสถ์ (วัดประสิทธิธรรม อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี) แล้วไปกราบท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) พอเข้าถึงประตูวัดป่าบ้านหนองผือ ท่านพระอาจารย์มั่นคอย (แล) เห็น “นั่นใคร ท่านพรหมหรือ ? ออกไปเดี๋ยวนี้ๆ”

ท่านเห็นหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ตั้งแต่เข้าประตูวัด หลวงปู่พรหมก็มาถึงศาลา หมู่เพื่อนภิกษุก็หาน้ำหาท่ามาถวายท่าน ท่านก็บ่นอยู่กุฏิของท่านนั่นแหละ “ออกไปเดี๋ยวนี้ๆ” ไม่รู้ว่าผิดอะไร หลวงปู่พรหมถ้าไม่ออกไปก็กลัวท่านจะเหนื่อย กลัวจะเป็นบาป ท่านก็เลยออกไปพักบ้านหนองสะไน ตามที่หลวงปู่อ่อนเล่า ไม่รู้ว่าผิดอะไร นี่แหละที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูดอย่างนั้น ได้ยินได้ฟังก็วินิจฉัยดู “มิใช่ผิดทางท่านสอนรึ ?” ที่ท่านดุนั่นเรียกว่าผิดทางที่ท่านสอน “การสร้างนั่นมิใช่ทางพ้นทุกข์ ทางพ้นทุกข์ไม่สร้างอย่างนั้น”

ตอนอาตมาไปคารวะหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดภูจ้อก้อ (วัดบรรพตคีรี) อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ท่านกำลังสร้างศาลาใหญ่ ท่านบอกอาตมาว่า “ถ้าอาจารย์มั่นยังอยู่ ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ท่านว่า ทำอย่างนี้โดนท่านดุเอา” แต่มาสมัยนี้โยมเขาว่า “ถ้าไม่ทำจะไปอยู่ไหนหลวงปู่ ไม้มันก็จะหมด หาหญ้าหาอะไรมันก็ไม่มี” จริงของเขา ท่านว่า หลวงปู่หล้าก็เลยทำ “ที่หลวงปู่หล้าท่านทำ มันพร้อมหมดทุกอย่างแล้ว แต่สมัยก่อนไม่พร้อมมันเป็นทุกข์ การสร้างก็เป็นทุกข์ สร้างแล้วความปรารถนาอยากเป็นนั่นเป็นนี่นั่นก็เป็นทุกข์อีก ไม่พ้นทุกข์ ทางท่านพระอาจารย์มั่นสอน ท่านสอนพ้นทุกข์ ถ้าผิดทางของท่าน ท่านจะดุเอาอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ผิดทางท่าน ท่านก็จะไม่ดุ”

• ท่านพระอาจารย์มั่นไปตามญาณ

ธรรมะท่านพระอาจารย์มั่นที่อาตมาได้รับทราบจากหลวงปู่อ่อนว่า “ท่านพระอาจารย์มั่นท่านไปทางไหน ท่านไปตามญาณ” อย่างเช่นที่ท่านไปพักที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ ท่านก็ปรารภ “จะไปปฏิบัติที่ไหนหนอจึงจะรู้ จึงจะหายสงสัยในธรรม” ท่านได้ปรารภ ท่านอยากรู้ อยากหายสงสัยในธรรม ในนิมิตก็บอกว่า “ถ้ำสาริกา เขาใหญ่” ท่านก็เดินทางไปแหละ ท่านไม่เคยไป พบโยมเลี้ยงควายท่านก็ถามถึงทางไปถ้ำสาริกา เขาใหญ่ “ไปทางไหนโยม” โยมคนนั้น “ไม่บอกให้ท่านไปหรอก เดี๋ยวท่านจะไปตาย เพราะที่นั่นพระตายหลายองค์แล้ว”

ท่านก็เลยพูดกับโยมเขาใหญ่ “อาตมาก็รู้ ใครจะอยากไปตายล่ะโยม อาตมาอยากไปดูไปชมเฉยๆ ดอก” พอว่าอยากไปดูไปชมเฉยๆ เขาก็เลยพาท่านไป ไปก็เห็นบาตรบริขารพระที่ตายนะ ที่พัก ร้านพัก ทางจงกรมก็มีอยู่ พอไปถึง ท่านก็ให้โยมหาไม้ตาดปัดกวาดทางจงกรม ร้านพังมอดกินมันชำรุดก็ให้โยมหาไม้ใหม่มาซ่อม พอซ่อมดีแล้ว ท่านก็ขึ้นนั่งบนร้านนั่นแหละ พูดกับโยมเขา “เออวันนี้ค่ำแล้ว กลับบ้านเสียเถอะ อาตมายังเบิ่งบ่คัก อยากนั่งเบิ่งคักๆ” (อยากดูให้ดีๆ ชัดๆ) พอท่านให้กลับ โยมเขาก็กลัว เขาก็รีบกลับเลย

เช้าท่านลงไปบิณฑบาตบ้านโยมคนนั้นแหละ เขาก็ใส่บาตรทุกวัน ท่านก็บิณฑบาตมาฉันอยู่องค์เดียวของท่าน ไปได้ ๒ วัน ๓ วัน ท่านเดินจงกรมอยู่ตอนกลางวัน ท่านก็ได้ส่งจิตออกไปนอก “ถ้ำชื่อว่า ถ้ำสาริกา ชื่อเขา เขาก็เรียกว่า เขาใหญ่ สัตว์ใหญ่จะมีบ้างไหมหนอ ?” ท่านนึกในใจ พอนึกเท่านั้นแหละ มีหมูป่าตัวใหญ่เดินตัดเขาขึ้นไป ท่านก็มองดูหมูป่าตัวใหญ่ตัวนั้น เดี๋ยวสักครู่มีหมาในฝูงหนึ่ง หัวหน้าฝูงมาถึงท่านก่อน ท่านพระอาจารย์มั่นนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ พอหมาในมาถึงเขาก็ยืนดู (ทำจมูกฟึดฟัดๆ ใส่ท่าน) ฝูงเขามาถึง เขาก็มายืนดู ผ่านไปแล้วท่านจึงได้มีจิตสำนึก ถ้ำนี้ศักดิ์สิทธิ์นะ “ไม่สำรวมไม่ได้นะต้องสำรวม” ท่านเตือนจิตของท่าน

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูฝน มียุงมาก ยุงได้กัดท่าน ท่านก็เอามือไล่ไปตามร่างกาย มือไปถูกยุงตาย พอถูกยุงตายก็สำคัญตัวเองว่าเป็นโทษ “เราจะไปแสดงอาบัติกับใคร อยู่องค์เดียว เพื่อนแสดงอาบัติก็ไม่มี” ก็นึกว่าตัวเองเป็นโทษ มันร้อนขึ้นมาหมดตามร่างกาย มีแต่ร้อน มีแต่ทุกข์ ธาตุก็พิการ ฉันข้าวเข้าไปยังไง ถ่ายออกมายังเป็นเม็ดข้าวอยู่ โยมเขาไม่ค่อยเห็นท่านลงไปบิณฑบาต เขาก็ท้วงมา “ท่านก็จะตายอีกแล้วนี่ ไม่ได้ๆ ต้องลงๆ” เขาก็จะตามท่านขึ้นมา จะเอาบาตรบริขารท่านลงไป ท่านไม่ยอมนะ “ยังไม่รู้ ยังไม่เห็น ยังไม่หายสงสัยในธรรม ไปไม่ได้ จะไปก็ต้องรู้ หายสงสัยในธรรมนั่นแหละจึงจะไปได้” ท่านก็ทนทุกข์อยู่นั่นแหละอยู่องค์เดียวของท่าน

ไปได้ ๒-๓ วัน ปรากฏเสียงดังลงมาจากยอดเขาโน้น ตะโกนลงมาอย่างแรงว่า “ท่านมาปฏิบัติเอาทุกข์หรือ ? ท่านมาปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์มิใช่หรือ ?” เมื่อท่านได้ยินเสียงนั้นแล้วท่านก็มีจิตสำนึก เราเป็นโทษก็วิกัปเก็บเอาไว้ก่อนก็ได้ หากมีเพื่อนมาทีหลังแสดงอาบัติกับเพื่อนเอาก็ได้ หรือไม่มีใครมา เราไปข้างหน้าพบเพื่อนข้างหน้าแสดงอาบัติกับเพื่อนข้างหน้าก็ได้ พอได้ยินเสียงนั้นแล้ว ที่เป็นทุกข์มาก่อนค่อยเย็นลงๆ นึกถึงธรรมถึงวินัยก็นึกได้ นึกถึงอะไรก็นึกได้ อยากรู้อะไรก็รู้ได้ แล้วท่านก็อยากรู้ว่าพระที่ตายนั้น ทำไมจึงมาตายที่นี่ ท่านก็รู้ได้ พระที่ตายนั่นไม่สำรวมในศีล ไปเก็บเอาผลไม้ในป่าที่มันหล่นไม่มีใครประเคนให้ แล้วผลไม้ก็มีเมล็ดข้างใน ก็เคี้ยวกินทั้งเมล็ด ไม่ได้ทำกัปปิยะ ศีลจึงวิบัติ

ในเขาลูกนั้นมีเปรตจำพวกหนึ่ง มีแต่รบราฆ่าฟันกัน ไม่ได้อยู่ไม่กินอะไรแหละ เขารบราฆ่าฟันกันมา พระก็ไปขวางทางเขา เขาก็เลยทุบตีเอา พระรูปนั้นก็เลยป่วยอาพาธตายไป แล้วท่านอยากรู้เหตุที่มันเป็นเปรตอยู่ที่เขาลูกนั้น เขาสร้างกรรมอย่างไรจึงไปเป็นเปรตที่นั่น ท่านก็รู้ได้อีก เปรตพวกนั้นเป็นคนประกอบอบายมุข ขึ้นชื่อว่าอบายมุขแล้วไม่เว้นแหละ มั่วสุมกันอยู่นั่นแหละ ถึงกับพระราชาออกกฎบังคับ วันพระวันศีลใครประกอบอบายมุขไม่ได้ ต้องมีโทษหนัก วันพระวันศีลให้เข้าวัด ให้ทาน รักษาศีล คนทั้งปวงก็เข้าวัดให้ทานรักษาศีลกัน เลิกอบายมุขเพราะกลัวโทษ แล้วเปรตพวกนั้น ถึงวันพระวันศีลจึงได้กินข้าวกินน้ำ มีปราสาทวิมานอยู่ ถ้าพ้นจากวันพระวันศีลแล้ว กลับเป็นเปรตรบราฆ่าฟันกันอยู่อย่างนั้นแหละไม่ได้อยู่ได้กินอะไรเปรตพวกนั้น ท่านอยากรู้อะไรท่านก็รู้ได้ที่ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นั่นแหละ

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านจะไปไหนไปตามญาณ อย่างหลวงปู่อ่อนท่านเล่าว่า หลวงปู่ขาว อนาลโย ตามธุดงค์ไปกับท่านพระอาจารย์มั่นที่เขาลูกหนึ่ง สูงก็สูง กันดารก็กันดาร น้ำบนยอดเขาโน้นไม่มีหลวงปู่ขาวนึกในใจ “เออ ที่กันดารอย่างนี้ทำไมท่านพามาอยู่นานนัก”

หลวงปู่ขาวยังไม่ทราบถึงสาเหตุตอนไปถึงครั้งแรก ที่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านเตือน “ไม่ให้ประมาท ตากผ้าคลุมบนพุ่มไม้ไม่ได้ ต้องสำรวม ท่านห้าม จะถ่มน้ำมูกน้ำลายอะไรก็ให้สำรวม” ไปได้ ๖ วัน ๗ วัน ท่านจึงได้บอกกับหมู่ว่า “ใครจะตากยังไง ก็ตากได้แล้ว พญานาคเขาอนุโมทนาแล้ว” เมื่อไปถึงครั้งแรกเขามักขู่ เขายังไม่เลื่อมใส พญานาคเขาทำปราสาทอยู่ที่เขาลูกนั้น อดีตชาติเป็นพี่ชายใหญ่ของท่าน ท่านไปโปรดพี่ชายใหญ่ของท่าน เมื่อเขาเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ท่านก็พาหมู่เดินต่อไป

อย่างที่ท่านไปอยู่บ้านสามผง ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พักอยู่ที่นี่ไม่ได้ ย้ายไปอยู่ที่โน้น ไปที่โน้นไม่ดี ก็ย้ายอีก ท่านก็พูดกับหมู่ “เออ เราเคยเป็นไก่ป่ามาตายที่นี่ เคยเป็นหมูป่ามาตายที่นี่ ถึงว่ามันต้องมาอยู่ที่นี่” นั่นท่านพระอาจารย์มั่นไปตามญาณ อย่างท่านพระอาจารย์เสาร์เดินธุดงค์มาพักก่อน ท่านพระอาจารย์มั่นเดินธุดงค์มาทีหลัง ท่านรู้นะ ท่านพระอาจารย์เสาร์ท่านแวะพักที่ไหน ท่านพระอาจารย์มั่นก็พักที่นั่น เพราะในอดีตชาติเคยเป็นพ่อค้าพาณิชย์ร่วมกัน

ท่านพระอาจารย์เสาร์นี่เป็นหัวหน้าใหญ่ เป็นนายฮ้อย ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นรอง ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ก็รองลงมาอีก แต่ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์นี่ท่านปฏิบัติอย่างไรถึงไปพักอยู่นาน พักในอสนีพรหมนานเป็นกัปป์ (ตามที่หลวงปู่อ่อนเล่าให้ฟัง) จึงได้กลับมาเกิด กลับมาเกิดก็ได้พบกันอีก นี้ล้วนแต่เคยสร้างบารมีร่วมกันมาทั้งสามองค์ ทั้งท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น และท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์

• ปัญหาธรรม-คติธรรม คำผญาของท่านพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เล่าให้อาตมาฟังว่า ท่านพระอาจารย์มั่นท่านจะพูดอะไร ท่านจะพูดเป็นปัญหาธรรมะ คำพูดของท่านพระอาจารย์มั่นจะพูดอย่างไรก็ต้องแปล แปลว่าอย่างไร หมายความว่าอย่างไร

“หวายซาววาหยั่งลง บ่เห็นส้น
ลึกบ่ตื้นคำเข่า หย่อนลงกะเถิง”

หวายซาววาหยั่งลง บ่เห็นส้น ปลายที่ว่าลึกนะมันลึก (เพราะ) ลึกบ่ตื้นคำเข่า หย่อนลงกะเถิง หมายความว่า การแสวงหาธรรมนั้น ถ้าเราจะซาวหา (ค้นหา) ยิ่งหาก็ยิ่งไกล ยิ่งจะไม่เห็น แต่นี่หาเข้ามา ลึกบ่ตื้นคำข้าวหย่อนถึง หาตรงที่คำข้าวหย่อนลงไปถึงนี่แหละ ตรงท่ามกลางอกนั่นแหละ แสวงหาธรรมจะไปค้นหาตามแบบตามตำรายิ่งหาก็ยิ่งไกล

นี่แหละตอนเป็นเด็ก อาตมาไปฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่นก็จำได้ไม่กี่คำนะ ไปก็มีหลวงตามาจากกรุงเทพฯ มาคืนแรก คืนสองหลวงตานั่นก็มาพัก ก็ขึ้นไปฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่น หลวงตานั่นมีเจตนาจะมาเที่ยวแสวงหามรรค ท่านตั้งใจจะมาจังหวัดสกลนคร อุดรธานี หนองคาย และนครพนม ถ้าไม่ได้มรรคจะกลับเข้ากรุงเทพฯ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านบอกทางมรรคให้ หลวงตานั่นไม่เข้าใจ ท่านตบกระดานนะ เติ้มๆๆ เสียงดังคับวัดนั่นแหละ เสียงท่านพระอาจารย์มั่นนะ

ท่านพูดเสียงดัง “มคฺโค มคฺค แปลว่า ทาง ถ้าเราเดินถูกทางจึงจะเห็นถ้าเดินผิดทางแล้วจะไม่เห็น ทางพระพุทธเจ้าก็บอกแล้ว สมฺมาทิฏฺฐิ ความเห็นของเรา เห็นยังไงล่ะ ? ชอบหรือไม่ชอบ สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริ เรามีความดำริยังไงล่ะ ชอบหรือไม่ชอบ ท่านให้ศึกษา ถ้ามันชอบก็เรียกว่าชอบทางมรรคนั่นแหละ” ท่านพระอาจารย์มั่นอธิบายบอกทางให้ก็ไม่เข้าใจ หลวงตานั่นไม่รู้ สำคัญว่ามรรคอยู่ที่โน้น ที่นี้ ไปคารวะท่าน ท่านพูดอีกก็จำได้ตอนคารวะนี้ “จะเที่ยวหามรรคหาผล หาจนกระดูกเข้าหม้อพู้น มันก็ไม่เห็นดอก มรรคผลไม่ได้อยู่ที่โน่นที่นี่”

คำที่กล่าวเป็นภาษาอีสาน เป็นคำพังเพย คำผญา

“ไม้ซกงก หกพันง่า
กะปอมก่าแล่นขึ้น มื้อละฮ้อย
กะปอมน้อยแล่นขึ้น มื้อละพัน
ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อๆ”

ไม้ซกงก ได้แก่ ตัวของเรานี่แหละ ร่างกายของเรานี่แหละ, หกพันง่า หมายถึง อายตนะทั้ง ๖ นั่นเอง, กะปอมก่า คือ กิเลสตัวใหญ่ (คือ รัก โลภ โกรธ หลง) อันแก่กล้านั่นแหละ, แล่นขึ้น มื้อละฮ้อย (มื้อละร้อย) มันวิ่งขึ้นใจคนเราวันละร้อย, กะปอมน้อยแล่นขึ้นมื้อละพัน คือ กิเลสที่มันเล็กน้อยก็วิ่งขึ้นสู่ใจ วันละพัน, ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อๆ กิเลสที่ไม่รู้ไม่ระวัง ก็จะเกิดขึ้นทุกวันๆ

“หินก้อนล้านหนักหน่วงเสมอจิต
เอาสโนมาติดคือสิซังซากันได้
บัดเฮาเอาตาซ้ายแนเบิ่ง (เล็งดู)
คือสิหนักไปทางสโน”

นักปราชญ์เมืองอุบลราชธานีเขาเรียนสนธิ์เรียนมูลจนเขาผูกเป็นปัญหา หมอลำเขาเอาไปลำนะ ผูกเป็นปัญหาไปถามให้เขาตอบ ใครตอบได้ก็เก่ง ตอบไม่ได้ก็ไม่เก่ง เขาผูกเป็นปัญหา คือ เขาเรียนสนธิ์เรียนมูลจบ ผูกเป็นปัญหาธรรมได้ ผูกเป็นปัญหาถามคนอื่นให้เขาตอบ ถ้าเขาติด (ตอบไม่ได้) ก็ไม่เก่ง ถ้าคนไหนไม่ติดก็เก่งล่ะ

ภาษาบาลี สีลฺ ก็แปลว่า ศีล, สิลา แปลว่า หิน, หินก้อนล้านหนักหน่วงเสมอจิต จิตอันเดียวที่ไปยึดมั่นถือมั่น เรียกว่าหนักหน่วงเสมอจิต, เอาสโนมาติดคือสิซังซากันได้ สโน - มโน แปลว่าใจ ใจนี่เดี๋ยวมันก็ส่ายหาความรัก เดี๋ยวมันก็ส่ายหาความชัง มันเอียงอยู่อย่างนั้น มันไม่ตรง, บัดเฮาเอาตาซ้ายแนเบิ่ง คือสิหนักไปทางสโน ใจมันเป็นอย่างนั้น ท่านจึงให้มีสติสำรวมดูจิตดูใจของเรา ขณะเราพูด จิตของเราใจของเรามันเอียงไปทางไหนแล้ว ถ้าเอียงไปทางความรัก เอียงไปทางความชัง ก็ผิดทาง ท่านให้สำรวม

สโน สโนนี่เป็นของเบา ถ้าจะว่าตามภาษาทางนี้ เพราะสโน (ไม้โสน) มันเกิดในน้ำ ไม้สโนเขาเอามาทำจุกขวด มันไม่แตก มันอ่อน ไม้นั้นมันอ่อน ทำจุกขวดมันไม่แตก ขวดไม่แตกมันอ่อน มันนิ่ม ไม้นั้นเป็นของเบา

สโน สโนแปลศัพท์ มโน ก็แปลว่าใจ ใจของเรานี่แหละสโนนั่น แต่ใจของคนเรามันไม่ตรงเดี๋ยวก็เอียงหาความรัก เดี๋ยวก็เอียงหาความชัง คำว่าส่ายนะมันเอียง

“กล้วย ๔ หวี
จัวน้อย (สามเณรน้อย) นั่งเฝ้า
พระเจ้านั่งฉัน”

กล้วย ๔ หวี ได้แก่ ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม

จัวน้อยนั่งเฝ้า หมายถึง คนที่โง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้เท่าทัน ตามหลักของธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่งเฝ้าตัวเองอยู่ ไม่รู้ว่าในตัวของตนนั้นมีอะไรบ้าง กินแล้วก็นอน

พระเจ้านั่งฉัน หมายถึง พระอริยเจ้าทั้งหลายที่รู้หลักความจริงอันประเสริฐ เมื่อภาวนาได้ที่แล้ว ก็เอาธาตุ ๔ (กล้วย ๔ หวี) มาพิจารณาตามหลักแห่งความเป็นจริง จนท่านเหล่านั้นสำเร็จคุณธรรมเบื้องสูง คือ พระอรหันต์ ท่านไม่นั่งเฝ้าอยู่เฉยๆ

ท่านพระอาจารย์มั่นมักจะสอนลูกศิษย์เป็นปริศนาธรรม เป็นต้นว่า “พระสูตร - เป็นตัวกลอง พระวินัย - เป็นหนังรัด พระปรมัตถ์ - เป็นผืนหนัง จตุทณฺฑฺ - เป็นไม้ฆ้อนตีประกาศก้องกังวาน กลองจะดังก็ต้องอาศัยหนังรัดตึง ถ้าหนังรัดหย่อนตีได้ก็บ่ดัง” (คำว่า กลอง ภาษาไทยอีสาน ออกเสียงเป็น “กอง”)

การส่งเสริมเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะให้เจริญแพร่หลายขยายกว้างไกล ก็ต้องอาศัยการศึกษาให้เข้าใจกระจ่างแจ้งในพระสูตร พระภิกษุก็ต้องมีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดตามพระวินัย พิจารณาทำความเข้าใจให้ปรุโปร่งในพระปรมัตถ์ ทำความเข้าใจศึกษาแต่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใดไม่ได้ ถ้าทำเช่นนั้น ความเจริญของพระพุทธศาสนาในจิตใจคนจะหด เสื่อมถอยลงเหมือนตีกลองไม่ดังกังวาน เพราะสายรัดกลองหย่อนยาน

คำว่า “กลอง” ท่านหมายถึง กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ “จตุ” แปลว่า สี่ กองรูป ขึ้นชื่อว่ารูปก็มีธาตุทั้ง ๔ ท่านยกเอามาตีความทั้งหมด ตีให้มันแตก เวทนาก็มีอยู่ในรูป สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีอยู่ในรูป ถ้าตีไปที่อื่นก็ไม่ถูกตัวกลอง (กอง) ต้องยกเอากองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ มาตี (ตีความ) ถ้าตีถูกตัวกลอง กลองจะดังก้องกังวานทั่วเมืองไทย ตีลงไปในกองรูป ให้ตีลงในธาตุทั้ง ๔ ตัวคนประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่หลงยึดในตัวตนต่อไป “ผู้มีปัญญาจงพิจารณารู้เองเถิด”

• เดินหาพุทโธ

การเดินธุดงค์ของท่านพระอาจารย์มั่น เดินทุกข์จริงๆ นะ พักในป่า ไปบิณฑบาตได้แต่ข้าวเปล่าๆ มาถึงที่พักแล้วก็ให้เณรหาฟืนมาก่อขึ้น ก่อไฟให้เป็นถ่าน แล้วก็เอาข้าเหนียวปั้นไม้เสียบไปขาง (ย่างไฟ) เอาเทียนไข (แต่ก่อนเป็นเทียนผึ้งแท้) ของเณรนี่แหละทา ท่านฉันข้าวจี่ทาเทียนไขน่ะ ข้าวจี่ทาเทียนไขท่านก็ฉัน ท่านเดินธุดงค์เดินทุกข์ เดินทุกข์จริงๆ ที่ท่านเดินธุดงค์ไปโปรดชาวเขา

หลวงปู่อ่อนท่านเล่า “ชาวเขาเขาไม่เคยเห็นพระ ท่านไปอยู่กับเขา เขาก็เลื่อมใสในการปฏิบัติของท่าน หากท่านต้องการทางจงกรมเขาก็ทำให้ ต้องการร้านพักที่พักเขาก็ทำให้ พอทำแล้วท่านก็เดินจงกรม กลางวันชาวเขาเขามาพบเห็นเข้า เขาก็มายืนดู “ตุ๊เจ้าเดินหาอะไร เดินกลับไปกลับมา ก้มดูแต่ในดิน” เขาแปลกใจ เขาเข้าไปถามท่าน “ตุ๊เจ้าเดินหาอะไร”

ท่านก็ตอบเขาว่า “เดินหาพุทโธ” พุทโธเขาไม่รู้ เป็นยังไงเขาไม่รู้ ถามท่าน พุทโธเป็นยังไง ท่านก็มีศรัทธาช่วยตอบเขาว่า “พุทโธ ใสเหมือนดวงแก้ว” ว่าดวงแก้ว เขารู้ เขามีศรัทธาอยากช่วยท่านหา ท่านก็ว่า “เออ ดีละ ถ้าสูช่วยหาด้วย” ท่านก็แนะนำบอกทางให้เขาหา “ให้สำรวม จะเดินไปไหนก็ดีให้สำรวม มิให้เหลียวซ้ายแลขวา มิให้ก้มนักเงยนัก ให้ทอดสายตาห่างจากตัวเราเพียงแค่ ๔ ศอก เดินไปทางไหนก็พุทโธๆๆ ไปตลอด”

ชาวเขาก็นำไปปฏิบัตินะ เขาไปไร่ไปสวนก็สำรวม พุทโธๆ ไป พุทโธไปหลายมื้อหลายวันเข้า จิตเขาก็รวมเป็นสมาธิ ใจเขามันใส ของที่อยู่ใกล้อยู่ไกลเขารู้เห็นได้ เมื่อเขารู้เห็น เขาไปดูก็เป็นจริงตามที่เขาเห็น ในเมื่อเขารู้เห็นอย่างนั้น เขาก็แปลกใจ “ตุ๊เจ้าว่าพุทโธใสเหมือนดวงแก้ว มิใช่ใจของเรานี่เหรอเปรียบเหมือนดวงแก้ว” มาถามท่านพระอาจารย์มั่น ท่านก็รับรอง “เออ ใจนั่นแหละเปรียบเหมือนดวงแก้ว แก้งดวงนี้แก้วสารพัดนึก นึกยังไงก็ได้” โปรดชาวเขา ท่านก็โปรดง่ายๆ นะ เพราะชาวเขาคนซื่อ ว่ายังไงเขาก็เชื่อ นำไปปฏิบัติได้


• นายช่างเหล็ก

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านรู้บรรดาลูกศิษย์ที่มาปฏิบัติร่วมกับท่าน ท่านอุปมาเปรียบตัวของท่านเหมือนนายช่างเหล็ก นายช่างเหล็กนะรู้เหล็กนี่ดีหรือไม่ดี จะตียังไง นายช่างตีเหล็กตียังไง ท่านพระอาจารย์มั่นสอนลูกศิษย์ก็สอนอย่างนั้นแหละ ตีเหล็กถ้าไม่เผาไฟให้มันแดง มันร้อน ก็ตีไม่ได้ ต้องเผาไฟให้มันร้อน มันแดงก่อนจึงเอามาตี เอาฆ้อน ๘ ปอนด์ตีแรงๆ แต่งให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วเอาค้อนน้อยมาเคาะมาแต่งอีกให้มันสวยมันงาม แล้วก็ยังไม่พอ ก็ต้องเอามาขัดมาฝนให้มันเรียบ แล้วจึงเอาไปชุบ ชุบแล้วก็เอามาฝน (ลับ) เอามาลอง (ทดลอง) ถ้ายังบ่าน (แตกร้าว, บิ่น) ยังเป้ (เบี้ยว) อยู่ก็ยังไม่ดี เอาไปชุบใหม่ ตีใหม่ เอาไปทดลองอีก ถ้ายังแตกยังเบี้ยวอีก เรียกว่าเหล็กนั้นไม่ดี ท่านทิ้ง

บรรดาลูกศิษย์ก็เหมือนกัน ศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นต้องผ่านการเข่น การตี การทดลอง ถ้าไม่แตกไม่เบี้ยวเรียกว่าดี ความคิดของท่านนั้น ถ้ายังมีแตกอยู่ ชุปที่ไหนก็มีแต่แตกแต่เบี้ยว ท่านก็ทิ้ง ท่านไม่สอน ท่านเน้นควบคุมสติ ทุกอย่างให้มีสติ ทุกอริยาบถ สติควบคุมจิต จิตของเราเวลานี้มันคิดไปยังไง เอียงไปยังไง ให้รู้ ถ้าไม่รู้มันแก้ไม่ทัน ถ้ารู้เราก็แก้ทัน

สำหรับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านไม่ให้ดูหนังสือนะ ถ้าดูหนังสือท่านจะดุเอา ดูหนังสือตามแบบ ภาวนาตามแบบ ไม่เป็นไปตามแบบ ท่านให้ดูแต่จิตใจ ถ้ารู้เห็นจิตใจของเราแล้วเรายังสงสัย อยากไปดูตำรา ท่านจึงอนุญาตให้ดูได้ ถ้ายังไม่เห็นจิตเห็นใจของเรานี่ ท่านห้าม จะบวชท่านก็ยังไม่บวชให้ถ้ายังไม่เห็นจิตเห็นใจ ถ้าเห็นกายเห็นจิตของเราแล้ว ท่านจึงจะบวชให้ บางราย ๒-๓ ปีก็ผ้าขาวอยู่นั่นแหละ ท่านทรมาน

หลวงปู่อ่อนเล่าว่า ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นมีศรัทธาอยากจะบวช แต่ท่านไม่รับ ทำยังไงท่านก็ไม่รับ เขาก็เลยมานอนทอดบังสุกุล เอาผ้าขาวพาดบนอกนอน ท่านเดินจงกรมอยู่ ท่านก็เห็น “เอ้า ! ใครมานอน ไม่เห็นไปสักที” ท่านเดินมาเห็นผ้า ท่านเลยชักบังสุกุลเอาผ้าในอกนั่น เมื่อท่านชักบังสุกุลเอาแล้ว ถือว่าท่านรับเอาตัวเองด้วย ก็เลยอยู่ไป อยู่ด้วยความเกรงกลัวนั่นแหละ ท่านพระอาจารย์มั่นท่านรู้ ถ้าจะรับเอาตามปกติธรรมดา คนนี้จะสำคัญตัวว่า “ตัวเองดี ตัวเองเก่ง” ท่านทรมาน ท่านรู้จักทรมาน ทิฏฐิ ความถือตัวไม่ให้มี เรียกว่า “อยู่ด้วยความเกรงกลัว” ถ้าท่านไม่รับเรียกว่า “ไม่ดี” เราไม่ดีท่านไม่รับ อยู่ด้วยความเกรงกลัวนี่แหละเป็นการทรมานของท่านพระอาจารย์มั่น อุบายทรมานของท่าน

แต่ศิษย์บางองค์ของท่านพระอาจารย์มั่นเป็นคนป่าก็มีนะ ชาวบ้านเขาไปไล่จับเอาในป่าโน้น เอามาเลี้ยงเอาไว้ แล้วเห็นเจ้าเมืองไม่มีลูก เลยเอาไปถวายเป็นลูกบุญธรรมเจ้าเมือง เจ้าเมืองก็รับเอา เจ้าเมืองให้นอนอยู่ใต้ถุนบ้านท่าน ก็นอนอยู่ใต้ถุนนั่นแหละ ชื่อ ญาท่านก่ำ ชื่อคนป่านะ ท่านเป็นคนขยัน คนซื่อสัตย์ เจ้าเมืองก็รักเหมือนกับลูก ก็ให้ขึ้นนอนบนบ้าน ท่านไม่ยอมขึ้น ท่านถือว่าท่านเป็นข่อยเป็นข้า พอเติบใหญ่มา ท่านก็อยากได้บุญด้วย จะให้ไปบวชท่านก็ไปบวช บวชแล้วพระท่านสอนให้เดินจงกรม ท่านก็เดินจงกรม เดินจงกรมเหนื่อยแล้วก็ขึ้นไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิ ท่านก็ทำอยู่นั่นแหละ

พอท่านบวชได้อายุพรรษามากแล้ว ท่านอยากไปอยู่องค์เดียวของท่าน ก็ไม่มีใครไปเยี่ยมดูแลแหละ เป็นคนป่าไม่มีความรู้ พอมีคนคิดถึงท่านว่าท่านอยู่องค์เดียว ที่อยู่ของท่านจะรกหรือเปล่าไปดู ท่านก็พูดธรรมะเก่ง ตอนที่ท่านเป็นเด็กเป็นคนป่านะ คนเขาไล่โดนเถาวัลย์เกี่ยวขาล้ม เขาเลยจับเอา ท่านเดินธุดงค์ไปที่ไหนถ้ามีเถาวัลย์ ท่านจะนอนหันหัวมาหาเถาวัลย์นั่นแหละ ท่านเคารพเถาวัลย์ เพราะว่านั่นเป็นอาจารย์ใหญ่ของท่าน มีบุญคุณต่อท่าน ถ้าเถาวัลย์ไม่เกี่ยวขาท่าน ท่านจะไม่ได้มาเป็นคนอย่างนี้ ญาท่านก่ำ

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์เสาร์ คนโบราณทางนี้เรียก ญาท่าน ญาท่านนี้เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ญาท่านก่ำที่เป็นคนป่านี่คุณธรรมสูง ท่านคงจะไม่มาเกิดอีกแหละ ได้ยินหลวงปู่อ่อนท่านเล่า แต่อาตมาไม่ทันหรอก ยกขึ้นญาท่านเหมือนกับพระยานั่นแหละ คนทางนี้เรียกท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น ว่า ญาท่านเสาร์ ญาท่านมั่น ผู้มีคุณธรรมทางเมืองอุบลราชธานีเขาเรียก “ญาท่าน”


• การสอนธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านสอนลูกศิษย์ คนนี้เป็นคนอย่างไรท่านจะสอนอย่างนั้น ลูกศิษย์ที่มานี่ อย่างหลวงปู่อ่อนไปมอบตัวกับท่าน ท่านก็สอนคำบริกรรม “กายเภทฺ กายมรณฺ มหาทุกฺขฺ” ให้บริกรรมคำนี้ หลวงปู่อ่อนก็นำไปบริกรรม แล้ววันหลังท่านก็ถาม “เป็นอย่างไร สบายไหม ?”

หลวงปู่อ่อนตอบว่า “ไม่สบาย ขอรับ” มันยาก มันขัด ว่า “ไม่สบาย”

ท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็รู้ว่า “ไม่ถูกกับจริตคำนี้” ท่านเลยเปลี่ยนคำบริกรรมให้ใหม่ ท่านให้บริกรรม “เยกุชฺโฌ ปฏิกุโล” หลวงปู่อ่อนท่านก็นำไปบริกรรมภาวนา แล้ววันหลังท่านก็ถาม “เป็นอย่างไรสบายไหมคำนี้” หลวงปู่อ่อนกราบเรียนท่านว่า “สบายเหมือนคำว่าพุทโธ ขอรับ” ท่านก็ให้บริกรรมคำนี้แหละ

เมื่อตอนที่หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ไปอบรมธรรมปฏิบัติอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นนั้น หลวงปู่อ่อนท่านมีกำลังมาก ไปอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น กลางวันไม่ได้พักผ่อน ท่านพาทำงาน ทำงานก็ไม่ใช่งานหนักอะไรหรอก งานเบาๆ นี่แหละ เป็นผ้าเช็ดเท้าเย็บกันทั้งวัน กลางคืนก็ไปบีบนวดถวายท่าน ตี ๒ ท่านตื่นจึงออกไปได้ ถ้าท่านไม่ตื่นออกไปไม่ได้ การบีบนวดท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ถ้าท่านนอนหลับถือว่าท่านหลับแล้ว จะไปเลยไม่ได้ วันหลังจะมาบีบนวดให้ไม่ได้ ท่านไม่ยอมนอนนั่นแหละ ท่านทรมาน ท่านรู้จักทรมาน ท่านทรมานเอา ตี ๒ แล้วจะไปนอนก็ยังไงอยู่ เช้าก็กลัวจะมารับบาตรท่านไม่ทัน ต้องไปเดินจงกรมก่อน ไม่ได้หลับได้นอน ถ้าคิดอยากนอนก็คงหงายตึงเลย ท่านพระอาจารย์มั่นท่านรู้จักในการทรมานหลวงปู่อ่อน ซึ่งเป็นอุบายอบรมธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น ตามที่หลวงปู่อ่อนเล่าให้อาตมาฟัง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22527

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...