💎💎ประวัติพระเครื่องหลวงปู่นาค โสภโณ 💎💎
สำหรับการเรียนเวทย์มนต์และวิปัสสนากรรมฐานนั้น ท่านได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และศึกษากับ ๔สมเด็จ ดังนี้
๑.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ฤทธิ์) วัดแจ้ง (ปัจจุบันเรียกว่า “วัดอรุณราชวรวิหาร”) ผู้เป็น อุปัชฌาย์ของหลวงปู่นาคนั่นเอง ท่านมีอาคมแก่กล้าในด้านทำเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะตะกรุดหน้าผากเสือ สำนักนี้ไม่เป็นสองรองใคร ครั้นพอท่านเรียนวิชานี้สำเร็จ การจะหาหนังเสือมาทำนั้นต้องไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตซึ่งมันบาปนัก ท่านจึงนำมาดัดแปลงลงในโลหะต่างๆ เช่น ทองคำ เงิน นาค ทองแดง อลูมิเนียมและตะกั่ว ลักษณะการลงและบริกรรมคาถากำกับในตัวตระกรุด ท่านก็จะทำไว้ให้มีฤทธิ์อยู่หลายแบบ เช่นดอกนั้นเด่นด้านคงกระพัน ดอกนี้เด่นด้านค้าขาย เมตามหานิยม ดอกนู้นเน้นด้านมหาอุต ซึ่งในสมัยนั้นใครที่เข้าไปขอ ท่านก็จะเมตตาหยิบให้พร้อมอธิบายวิธีการใช้ให้
(สำหรับวัดแจ้งหรือวัดอรุณนี้ จะมีอ้างในส่วนของ ตอนที่๓:พระพิมพ์ในวัดแต่มีออกนอกวัดด้วยนะครับ)
๒.สมเด็จ พระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ราชวรวิหาร สมัยนั้น ดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระธรรมโกษาจารย์ ซึ่งเป็นพระอนุสาวนาจารย์(พระคู่สวด)ในสมัยที่หลวงปู่นาคบวชเป็นพระภิษุนั่น เอง หลวงปู่นาคได้รับการถ่ายทอดและศึกษาวิชาการลงยันต์ ๑๐๘ ชนิดครบสูตรในการลงยันต์เททองพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ซึ่งเป็นตำหรับวิชาสุดยอดของการสร้างพระกริ่งในสายวัดสุทัศน์นี้
(สำหรับ วัดสุทัศน์ หากตามประวัติจะทราบว่า หลวงปู่นาคท่านจะสนิทกับพระครูมูล ซึ่งโยงถึงกันได้ว่าเป็นศิษย์ร่วมรุ่นเดียวกันนั่นเอง เกจิ ๒ ท่านนี้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งครับ จึงไม่แปลกที่พระสมเด็จของพระครูมูลถึงได้มีมวลสารพระสมเด็จเก่าของวัดระฆัง ไปผสมกันเป็นจำนวนมาก และบางครั้งก็พบว่าพิมพ์สมเด็จมีหน้าตาและพิมพ์พระเกศบัวตูมของพระครูมูลมี มาปรากฎในแบบแม่พิมพ์ที่หลวงปู่นาคท่านกดพระด้วยครับ จะมีไปขยายความกันในตอนที่๓:พระใน-นอก พิมพ์)
๓.สมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกุล ณ อยุธยา) ในสมัยที่ท่านดำรงสมณศักดิ์เป็น พระธรรมไตรโลกาจารย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง สืบต่อจากสมเด็จพระพุทธบาทปิลันท์ (ม.ร.ว.ทัศน์ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา)
เป็น ที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะครับว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของสมเด็จพุทธจารย์โต ในสมัยบั้นปลายชีวิตสมเด็จโต สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ) ท่านได้เรียนสำเร็จวิชาการทำผงวิเศษจากสมเด็จโตและเป็นกำลังสำคัญในการลบและ จัดทำผงวิเศษทั้ง๕ชนิด เพื่อถวายให้สมเด็จโตสร้างพระวัดระฆังฯรุ่นแรก มาถึงยุคที่ท่านเป็นพระอาจารย์ให้หลวงปู่นาค ท่านก็สอนการทำผงนี้ให้จนสำเร็จครบหลักสูตรเช่นกัน ดังนั้นพระสมเด็จที่หลวงปู่นาคท่านสร้างจึงเป็นพระที่มีสูตรการสร้างเหมือน กับพระสมเด็จวัดระฆังรุ่นแรกนั่นเอง
๔.สมเด็จ พระสังวรนุวงศ์เถร(ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม(วัดพลับ) เกจิท่านี้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาให้กับหลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกนั่นเอง หลวงปู่นาคก็ได้มาเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่สำนักนี้จนสำเร็จเช่นกัน
หลังจากที่ สมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ (เจริญ) ท่านมรณภาพแล้ว หลวงปู่นาคก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส วัดระฆังโฆษิตาราม องค์ที่๙
***********************************************************
สำหรับเรื่องการสร้างวัตถุมงคลต่างๆ
โดย เฉพาะประเภทพระเนื้อผงนั้น ท่านจะเน้นถึงความสำคัญเกี่ยวกับผงวิเศษที่นำมาบดผสมในการสร้างทุกครั้ง ใช้ผงถูกต้องตามสูตรที่ สมเด็จพุทธจารย์ โต สร้างเลยครับ โดยเรียนมาจาก พุทธโฆษาจารย์ เจริญ หลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคล ทั้งสมเด็จ และพระเนื้อผง และเหรียญ ไว้เป็นจำนวนมาก เท่าที่ทราบไม่ต่ำกว่า 50 พิมพ์ขึ้นไป ทางวัดจัดสร้างบ้าง ลูกศิษย์สร้างบ้าง และวัดอื่นสร้างบ้างและมาให้ท่านปลุกเสกให้บ้าง พระยุคแรกประมาณปี 2484 จนถึงปี 2495 ท่านได้สร้างพระเป็นจำนวนมาก โดยได้ผสมผงเก่าสมเด็จโต ผงพระปิลันทร์ ผลอิทธิเจ ซึ่งหลวงปู่ได้ปลุกเสกเองตามตำรับสมเด็จโต พรหมรังสี โดยได้นำผงเก่าทั้งหมดมาปั้นเป็นแท่งและเขียนอักขระยันต์ลงแผ่นกระดาน 108 ครั้ง จึงได้ลบผงบนกระดานนำมาสร้างพระสมเด็จและพระเนื้อผงต่างๆ เช่น วัดประสาทในปี 2506 วัดจังหวัดอยุธยา วัดละครทำ วัดชิโนรส และวัดอื่นอีกหลายวันที่ยังไม่ได้อ้างถึงครับ
การปลุกเสกวัตถุมงคล
หลังจากพิมพ์พระเสร็จ หลวงปู่นาคท่านจะให้ลูกศิษย์นำพระเครื่องทั้งหมดไปไว้ในพระอุโบสถ หลังจากทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จแล้ ว ท่านจะปิดประตูโบถส์ อยู่เพียงลำพังท่านเดียว และทำการปลุกเสกพระจนถึงเที่ยงคืน จึงกลับกุฏิจำวัด รุ่งขึ้นจึงนำพระเครื่องทั้งหมดมาไว้ที่วิหารสมเด็จโต ทำการปลุกเสกตอนกลางคืนอีกวาระหนึ่ง จากนั้นก็นำมาทำการปลุกเสกในกุฏิของท่านอีกครั้งเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการ ปลุกเสกพระ สาเหตุที่ท่านทำเช่นนี้ ท่านได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า...หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์ ท่านศักดิ์สิทธิ์ เราเป็นเพียงตถาคตมาอาศัยสถานที่ท่านพำนัก จะทำสิ่งใดก็ต้องบอกกล่าวท่าน และให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ด้วยจึงจะถูกต้อง ...ส่วนที่นำเข้าวิหารสมเด็จโต เพราะสมเด็จโตนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯมาก่อน และ เป็นครูบาอาจารย์ขอข้า จะทำอะไรก็ต้องบอกกล่าวท่านก่อน แล้วให้ท่านมาร่วมรับรู้และช่วยกันปลุกเสกแผ่พลังจิตพระเครื่องเหล่านี้ด้วย จึงจะสมบูรณ์
พระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆัง เป็นพระสมเด็จที่มีส่วนผสมของเศษแตกหักของสมเด็จวัดระฆังที่ท่านได้เก็บรวบ รวมไว้เป็นจำนวนมาก จากการที่มีประชาชนนำเศษแตกหักของพระสมเด็จมาทิ้งไว้ที่วัดและการค้นพบพระ สมเด็จจำนวนมากบนหลังคาโบสถ์วัดระฆัง ซึ่งท่านได้นำพระสมเด็จที่แตกหักทั้งหมดร่วมกับการสร้างผงพุทธคุณของท่านตาม ตำรับของสมเด็จโต ทำให้พระสมเด็จของท่านโดยเฉพาะพระในยุคต้น ๆ ช่วงปี 2485-2495 มีเนื้อหามวลสารจัดจ้าน น่าบูชายิ่งนัก ซึงนับว่าเป็นพระตระกูลสมเด็จที่มีเนื้อหามวลสารของพระสมเด็จวัดระฆังผสมไว้ มากที่สุด มากกว่าสำนักอื่นที่ท่านได้มอบบางส่วนไปผสมผงสร้างพระให้วัดอื่น เช่น สมเด็จนายเผ่า วัดอินทร์วิหาร ปี 95
แต่ เนื่องจากท่านได้สร้างพิมพ์ทรงของพระสมเด็จต่าง ๆ ไว้มากมาย ในวงการจึงนิยมเล่นหากันเฉพาะพิมพ์นิยมบางพิมพ์ของท่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตัวใครเห็นก็ทราบว่าเป็นพระของท่าน เช่น
พิมพ์เทวดาสามชั้นหูบายศรี
พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ชิ้นฟัก
พิมพ์เทวดา ขัดสมาธิเพชร
พิมพ์รูปเหมือนสมเด็จโต
พิมพ์ซุ้มระฆัง เป็นต้น สำหรับพระสมเด็จของท่านที่มีเนื้อหาจัดจ้าน แก่ผงพระสมเด็จ หรือ
มีการฝังตะกรุดไว้เป็นพิเศษ ตั้งแต่ 1ดอก 2 ดอก หรือ 3 ดอก จะหาได้ยากมากและเป็นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดย
จะเช่าหากันในราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า
เป็น ที่น่าแปลกใจมากพระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆังไปมีชื่อเสียงโด่งดังในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวจากประเทศดังกล่าวมากว้านซื้อกลับไปยังประเทศของตน เป็นจำนวนมาก ทำให้จำนวนพระสมเด็จของหลวงปู่นาค วัดระฆังในปัจจุบัน มีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก พระเก๊และพระยัดวัดจึงมีมากมาย ถึงแม้ว่าพระของท่านราคาอาจยังไม่แพง แต่อนาคตน่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผสมผงเก่าสมเด็จโตและปลุกเสกอย่างพิถีพิถัน อีกทั้งประสบการณ์และพุทธคุณของท่านก็ครบเครื่องครอบจักรวาล
ส่วนทางด้วนเมตตามหานิยมนั้น ก็มีผู้ประสพกับตนเองมากมาย เมื่อเกิดขัดสน ทุกข์ยากขึ้นมาก็เอาพระของหลวงปู่ขึ้นมา ภาวนา อธิษฐานนึกถึงท่าน ก็จะบันดาลให้ธุรกิจที่ท่านทำอยู่ประสพความสำเร็จดั่งมุ่งหวัง หรือเวลาเกิดเหตุคับขัน ก็ขอให้ภาวนานึกถึงท่านให้แคล้วคลาดจากอันตรายที่จะเกิดขึ้นผ่านพ้นไป ซึ่งผู้เขียนขอบอกแต่เพียงว่า ใครมีพระของท่านแล้ว จะมีลาภ ชีวิตจะปลอดภัย
แม้ว่าท่านจะอายุมากตามวัย แต่ร่างกายท่านก็สมบูรณ์เปี่ยมด้วยราศี ใบหน้าของท่านเปลี่ยมด้วยเมตตาใครไปหาเจอท่าน ขอพระจากท่านฟรีๆ หรือเช่าพระจากกรรมการวัด ท่านก็จะเมตตาเจิมแป้งเสกให้อีกครั้ง ครั้งท่านยังเป็นมหาที่ได้รับการแต่งตั้งให้กรรมการตรวจทรัพย์ ปรากฏ ว่าหลังท่านมรณภาพแล้ว ท่านเหลือเพียง 50 สตางค์เท่านั้น ส่วนใหญ่เงินที่ท่านได้มาก็จะบริจาคช่วยเหลือคนตกยาก และบริจาคกับสิ่งก่อสร้างของวัดจนหมด คงเหลือแต่ความดี และความศรัทธาที่ทุกคนมีให้แดหลวงปู่ หากเทียบตอนท่านกำลังดัง ก็เหมือนหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี จะได้ไปปลุกเสกเกือบทุกงาน เพราะบารมี และความมีเมตตาของท่านนั้นเอง…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น