ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่จันทร์ เขมิโย วัดศรีเทพประดิษฐาราม จังหวัดนครพนม

ประวัติและปฏิปทา พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย)

วัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม

๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) มีนามเดิมว่า จันทร์ สุวรรณมาโจ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2524 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 (เดือนอ้าย) ปีมะเส็ง เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน ของนายวงศ์เสนา และนางไข สุวรรณมาโจ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่ที่บ้านท่าอุเทน หมู่ที่ 3 ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

ในวัยเยาว์ เด็กชายจันทร์ สุวรรณมาโจ มีสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรงเพราะป่วยเป็นโรคหืด ครั้นเจริญวัยใหญ่โตขึ้นมาโรคนี้ก็หายขาดไป จนกระทั่งเมื่อท่านมีอายุได้ 60 ปี โรคหืดนี้ก็กลับกำเริบขึ้นมาอีก

ครั้นถึงปีพุทธศักราช 2431 เด็กชายจันทร์ สุวรรณมาโจ ได้เรียนหนังสืออักษรไทยน้อย หัดเขียนหัดอ่านจากหนังสือผูกโบราณ วรรณคดีพื้นบ้านซึ่งประชาชนในสมัยนั้นนิยมอ่านกันมาก



๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

ในปีพุทธศักราช 2434 ขณะที่เด็กชายจันทร์ สุวรรณมาโจ อายุได้ 10 ขวบ นายวงศ์เสนา สุวรรณมาโจ ผู้เป็นโยมบิดาได้ล้มป่วยและถึงแก่กรรมลง ในงานฌาปนกิจศพของโยมบิดา เด็กชายจันทร์ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร (บวชหน้าไฟ) เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่โยมบิดา โดยมี พระอาจารย์ขันธ์ ขนฺติโก วัดโพนแก้ว ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากเสร็จงานศพของโยมบิดาแล้ว สามเณรจันทร์ สุวรรณมาโจ ก็มิได้ลาสิกขา มุ่งหน้าบวชต่อไปเพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียนตามประเพณี การศึกษาเล่าเรียนในสมัยนั้น หนังสือที่ใช้เป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนจะเป็นคัมภีร์โบราณเขียนจารเป็นอักษรขอม อักษรธรรม ยากแก่การศึกษาเล่าเรียน ต้องอาศัยความพากเพียรพยายามอย่างมากจึงจะประสบความสำเร็จ

สามเณรจันทร์ สุวรรณมาโจ ได้ศึกษาอักษรสมัยกับ พระอาจารย์เคน อุตฺตโม เมื่อแตกฉานเชี่ยวชาญดีแล้ว จึงเรียนบาลีเดิมที่เรียกว่ามูลกัจจายน์ และคัมภีร์สัททาสังคหปฏิโมกข์ ปรากฏว่าสามเณรจันทร์อ่านเขียนและท่องจำได้คล่องแคล่ว จนมีผู้มาขอร้องให้ท่านช่วยจารหนังสืออักษรขอม อักษรธรรมอยู่เสมอ นอกจากสนใจในด้านพระปริยัติธรรมแล้ว สามเณรจันทร์ สุวรรณมาโจ ก็ยังสนใจในการปฏิบัติกรรมฐานอีกด้วย จึงได้ไปศึกษากรรมฐานในสำนักของ พระอาจารย์สีทัตถ์ ญาณสมฺปนฺโน ที่วัดโพนแก้ว จังหวัดนครพนม เป็นเวลาหลายปี

พระอาจารย์ศรีทัศน์นับว่าเป็นพระสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง เคยเดินธุดงค์ไปบำเพ็ญกรรมฐาน แสวงหาวิเวกในสถานที่ต่างๆ จนถึงเขตประเทศพม่า และได้รับพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศพม่า ครั้นเดินทางกลับถึงอำเภอท่าอุเทนแล้ว ได้ชักชวนประชาชนก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทนขึ้น เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากประเทศพม่า ใช้เวลาสร้าง 7 ปี จึงแล้วเสร็จ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระธาตุท่าอุเทนจึงเป็นปูชนียสถานแห่งหนึ่งของจังหวัดนครพนม ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำโขงจนถึงทุกวันนี้

สามเณรจันทร์ สุวรรณมาโจ ศึกษาเล่าเรียนอักษรสมัย และปฏิบัติกรรมฐานอยู่มาจนถึงอายุ 19 ปี ในขณะเดียวกันท่านก็รู้สึกเป็นห่วงโยมมารดาและครอบครัว อยากจะช่วยเหลือครอบครัวให้รอดพ้นจากความอยากยากจน คราวใดได้ลาภสักการะมา ก็มักจะส่งไปให้โยมมารดา ในกาลต่อมา เพื่อนสามเณรรุ่นเดียวกันมาชักชวนให้ลาสิกขาไปทำการค้า สามเณรจันทร์เห็นว่าเป็นหนทางที่จะร่ำรวยช่วยเหลือทางบ้านได้ จึงตัดสินใจไปขอลาสิกขากับพระอุปัชฌาย์ ซึ่งท่านก็อนุญาตให้สึกได้ตามประสงค์

หลังจากลาสิกขาแล้ว นายจันทร์ สุวรรณมาโจ ก็เข้าหุ้นกับเพื่อนร่วมกันทำมาค้าขาย ตอนแรกรู้สึกว่าร่ำรวยทำมาค้าขึ้น ในระหว่างนั้นก็มีเจ้านายที่เคารพนับถือมาขอร้องให้ไปช่วยจารหนังสือขอม-หนังสือธรรมให้อยู่เสมอ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาดูแลกิจการค้าขายอย่างเต็มที่ ส่วนเวลากลางคืนยังมีเจ้านายมากะเกณฑ์ให้ไปอยู่เวรยามมิได้ขาด ชั่วเวลาเพียงไม่กี่เดือน การค้าขายที่คาดกันไว้ว่าจะร่ำรวยกลับมีแต่ทรุด เป็นเหตุให้นายจันทร์เกิดความเบื่อหน่าย ต้องล้มเลิกกิจการค้าขายไป ท่านรู้สึกไม่สบายใจในชีวิตฆราวาส ซึ่งมีแต่ความสับสนวุ่นวาย แก่งแย่งเอารัดเอาเปรียบกัน หาความเที่ยงธรรมและความสงบสุขได้ยาก

นอกจากนี้ตลอดระยะเวลา 5 เดือน ที่อยู่เป็นฆราวาส หนุ่มจันทร์ยังมีสตรีเพศเข้ามาติดต่อพัวพันยั่วยวนด้วยวิธีการต่างๆ นานา ยิ่งทำให้หนุ่มจันทร์รู้สึกอึดอัดใจ ในที่สุดหนุ่มจันทร์ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกลับมาบวชอีก ประกอบกับตอนนั้นอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงมุ่งหน้าเข้าสู่ร่มเงาผ้ากาสาวพัสตร์ ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีพุทธศักราช 2445 โดยมี พระอาจารย์เหล่า ปญฺญาวโร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เคน อุตฺตโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์หนู วิริโย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “เขมิโย” อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพนแก้ว จังหวัดนครพนม และได้พำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้

หลังจากที่อุปสมบทแล้ว พระภิกษุจันทร์ เขมิโย ก็ถูกพวกสตรีเพศที่เคยมาติดพันท่านสมัยเป็นฆราวาส มารบกวนไปมาหาสู่อยู่เนืองๆ ท่านเห็นว่า ถ้าขืนอยู่ที่วัดโพนแก้วต่อไป สตรีเพศคงจะมารบกวนยั่วยวนเช่นนี้เรื่อยไป จะทำให้เกิดความเศร้าหมองแก่เพศพรหมจรรย์เข้าสักวัน จึงตัดสินใจกราบลาพระอุปัชฌาย์ ย้ายไปอยู่วัดพระอินทร์แปลง และในขณะเดียวกันพระอาจารย์เคน อฺตฺตโม ผู้ที่เคยอบรมสั่งสอนท่าน ต้องย้ายไปอยู่วัดพระอินทร์แปลง เพื่อเป็นเจ้าอาวาส ดังนั้น พระภิกษุจันทร์ เขมิโย จึงย้ายติดตามพระอาจารย์เคนไปด้วย

ในปี พ.ศ.2445 นั่นเอง พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล วัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน พร้อมด้วย พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นพระครูอยู่วัดใต้ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้เดินทางผ่านมาถึงจังหวัดนครพนม มาปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ตอนใต้เมืองนครพนม ประชาชนจำนวนมากพากันไปกราบไหว้ฟังธรรม และขอรับแนวทางการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญสมาธิมิได้ขาด พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ ข้าหลวงเมืองนครพนม ทราบข่าว จึงไปกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ทั้งสอง

การกราบพบปะสนทนากันในครั้งนั้น พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ได้ชี้แจงความเป็นมาของตน ว่าเคยเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ พร้อมทั้งได้เล่าถึงพฤติกรรมของพระภิกษุสามเณร ในจังหวัดนครพนมให้ท่านทราบ และขอให้ช่วยหาทางแก้ไขด้วย พระอาจารย์เสาร์จึงแนะนำให้เสาะหาคัดเลือกพระภิกษุสามเณร ผู้เฉลียวฉลาดมีความประพฤติดี และสมัครใจที่จะทำทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระภิกษุสามเณรในคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เพื่อไปอยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในสำนักของพระอาจารย์ทั้งสอง ให้มีความหนักแน่นมั่นคงในพระธรรมวินัยแล้ว จึงส่งกลับมาอยู่นครพนมตามเดิม จะได้ช่วยกันแก้ไขความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในจังหวัดนครพนมให้ดีขึ้น

พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ ข้าหลวงเมืองนครพนม ได้เสาะแสวงหาพระภิกษุสามเณรที่มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส ทาบทามพระภิกษุได้ 5 รูป และสามเณรอีก 1 รูป 4 รูปนั้น มีพระภิกษุจันทร์ เขมิโย รวมอยู่ด้วย พระยาสุนทรฯ ได้นำพระภิกษุสามเณรทั้ง 5 รูป มาถวายตัวเป็นศิษย์พระอาจารย์เสาร์และพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ)

พระภิกษุจันทร์ เขมิโย นั้นมีความรู้พื้นฐานทางสมถกรรมฐานอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์ จึงรู้สึกถูกอัธยาศัยเป็นอย่างยิ่ง ข้อวัตรปฏิบัติใดที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็ตั้งใจศึกษาและเรียนถามจากครูบาอาจารย์ พร้อมทั้งใส่ใจฝึกปฏิบัติสมาธิอย่างจริงจัง มีความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติกรรมฐานอย่างรวดเร็ว

ในปลายปี พ.ศ.2445 พระอาจารย์เสาร์ และพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) ก็ได้อำลาประชาชนเดินทางกลับสู่จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วยพระภิกษุ 4 รูป คือ พระภิกษุจันทร์ เขมิโย (ต่อมาได้เป็นท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์) พระภิกษุสา พระภิกษุหอม พระภิกษุสังข์ และสามเณรอีก 3 รูป ในจำนวน 3 รูปนี้ มีสามเณรจูม จันทรวงศ์ (ต่อมาได้เป็นพระธรรมเจดีย์) รวมอยู่ด้วย คณะของพระอาจารย์เสาร์ได้จาริกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ หยุดพักรอนแรมกลางป่าดงพงไพร ได้พบสัตว์ป่านานาชนิด มีเสือ มีช้าง กวาง ละมั่ง ควายป่า เป็นต้น

เมื่อเจอสัตว์ป่า พระอาจารย์เสาร์ก็สั่งให้คณะนั่งลงกับพื้นดิน แล้วแผ่เมตตาให้สัตว์เหล่านั้น พระภิกษุสามเณรทุกรูปก็แคล้วคลาดปลอดภัย ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เล่าไว้ว่า ในการบำเพ็ญกรรมฐานในป่านั้น ประการสำคัญต้องทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ซึ่งผู้ปฏิบัติทั่วไปมักจะมีความวิตกกังวล ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ต่อจากนั้นก็มีอันเป็นไป หากมีศีลบริสุทธิ์ จิตก็สงบเป็นสมาธิได้ง่าย และอีกประการหนึ่งจะต้องยึดมั่นในพระรัตนตรัย ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณอยู่เสมอ

ในการเดินทางครั้งนั้น คณะของพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ได้เดินทางมาทางพระธาตุพนม ไปมุกดาหาร อำนาจเจริญ แล้วเข้าสู่ตัวเมืองอุบลราชธานีไปพำนักอยู่ที่วัดเลียบ ในขณะเดียวกันพระภิกษุจันทร์ เขมิโย ก็เป็นพระพี่เลี้ยงอบรมอักขระฐานกรณ์และคำขอญัตติเพื่อทำทัฬหิกรรมเป็นพระธรรมยุติกนิกายต่อไป เมื่อท่องบทสวดต่างๆ ได้คล่องแคล่วแล้ว พระอาจารย์เสาร์ก็นำคณะพระภิกษุจันทร์ เขมิโย ไปประกอบพิธีทัฬหิกรรมญัตติ เป็นพระภิกษุสามเณรในคณะธรรมยุติกนิกายโดยสมบรูณ์ ณ พระอุโบสถวัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระสังฆรักขิโต (พูน) วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูหนู ฐิตปญฺโญ (ต่อมาได้เป็นพระปัญญาพิศาลเถร) วัดใต้ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูประจักษอุบลคุณ (พระอาจารย์สุ้ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาเดิมคือ “เขมิโย”

หลังจากอุปสมบทแล้ว พระภิกษุจันทร์ก็พำนักจำพรรษา ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับพระอาจารย์เสาร์ ทางด้านการศึกษาพระปริยัติธรรม พระภิกษุจันทร์ก็มิได้ทอดทิ้ง ท่านสนใจในการเรียนรู้อย่างมิรู้เบื่อหน่าย พยายามศึกษาพระปริยัติธรรมแผนใหม่ ได้แก่ วิชาธรรมะ วิชาวินัย วิชาพุทธประวัติ และวิชาอธิบายกระทู้ธรรม ฯลฯ ซึ่ง ท่านเจ้าประคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ได้นำมาเผยแผ่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนแนวทางการปฏิบัติกรรมฐานนั้น พระภิกษุจันทร์ได้ฝึกอบรมในสำนักของ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) จนมีความรู้ความก้าวหน้าทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติอย่างแท้จริง มีจิตใจคงมั่นไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเย้ายวน

ทางด้านพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ ข้าหลวงประจำเมืองนครพนม ได้มีหนังสือฉบับหนึ่งส่งไปกราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ส่วนอีกฉบับหนึ่งส่งไปกราบทูล พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ประจำมณฑลอุบลราชธานี เพื่อขอนิมนต์ตัวพระภิกษุจันทร์ เขมิโย กลับไปตั้ง “สำนักคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย” ขึ้นที่เมืองนครพนม

พระอาจารย์เสาร์จึงนำพระภิกษุจันทร์ เขมิโย เข้าพบกรมหลวงสรรพสิทธิฯ พระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุจันทร์ยังหนุ่มน้อยเช่นนั้น จึงรีบสั่งด้วยความห่วงใยว่า “พระอย่างคุณน่ะหรือ จะนำคณะธรรมยุติไปตั้งที่จังหวัดนครพนม รูปร่างเล็ก ยังหนุ่มแน่น ประสบการณ์ยังอ่อน หาพอที่จะรักษาตัวและหมู่คณะได้ ไม่น่าจะไปตายเพราะผู้หญิง ฉันเกรงว่าจะนำวงศ์ธรรมยุติไปทำเสื่อมเสียซะมากกว่า... ”

พระอาจารย์เสาร์ได้ฟังดังนั้น จึงถวายพระพรเล่าถึงปฏิปทาจรรยามารยาท และความเป็นผู้หนักแน่นในพระธรรมวินัยของพระภิกษุจันทร์ ผู้เป็นศิษย์ ให้ทราบทุกประการ

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าจากพระอาจารย์เสาร์แล้ว กรมหลวงสรรพสิทธิฯ ก็ทรงอนุญาตให้พระภิกษุจันทร์ เขมิโย พร้อมด้วยคณะ เดินทางไปจังหวัดนครพนม พร้อมกับทรงออกหนังสือรับรองเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้หนึ่งฉบับ มีใจความว่า “ให้นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในเส้นทางที่เดินผ่าน ให้จัดคนตามส่งตลอดทาง พร้อมทั้งให้จัดที่พักอาศัย และภัตตาหารถวายด้วย” พระภิกษุจันทร์ เขมิโย พร้อมด้วยคณะได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครพนม ผ่านป่าดงเข้าหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทาง ครั้นประชาชนทราบข่าวก็พากันไปกราบไหว้ แสดงความชื่นชมโสมนัส ท่านได้แสดงธรรมโปรดประชาชนมาเป็นระยะๆ

การเดินทางไปสมัยนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะไม่มีถนน รถยนต์ก็ไม่มี คงมีแต่ทางเดินเท้ากับทางเกวียน ซึ่งพวกพ่อค้าใช้เป็นเส้นทางติดต่อค้าขาย คณะของพระภิกษุจันทร์เดินทางรอนแรมมาเป็นเวลา 21 วันจึงลุถึงเขตเมืองนครพนม ไปหยุดยับยั้งอยู่บ้านหนองขุนจันทร์ ทางทิศใต้ของเมืองนครพนม พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม ทราบข่าวก็จัดขบวนออกไปต้อนรับ นิมนต์พระสงฆ์สามเณรขึ้นนั่งบนเสลี่ยง หามแห่เข้าเมืองแล้วนำไปพักจำพรรษาอยู่ ณ วัดศรีขุนเมือง (วัดศรีเทพประดิษฐาราม)

นับจำเดิมตั้งแต่นั้น (ปี พ.ศ.2449) เป็นต้นมา คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายได้ปักหลักตั้งมั่นในจังหวัดนครพนม พระภิกษุจันทร์ เขมิโย ได้ใช้ความรู้ความสามารถพัฒนาวัดศรีขุนเมือง (วัดศรีเทพประดิษฐาราม) ให้เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมา แต่ก่อนวัดศรีขุนเมือง (วัดศรีเทพประดิษฐาราม) เป็นวัดรกร้างว่างเปล่า ไม่มีพระสงฆ์อยู่พักจำพรรษา สภาพโดยทั่วไปจึงรกร้าง เสนาสนะและอุโบสถทรุดโทรม พระภิกษุจันทร์ได้ขอความอุปถัมภ์บำรุงจากทางราชการโดยมีพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม เป็นประธาน และขอความอุปถัมภ์จากคณะศรัทธาชาวบ้านซึ่งมีขุนทิพย์สมบติ เป็นหัวหน้า ปรากฏว่าได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายด้วยดี

หลังจากที่กลับมาอยู่จังหวัดนครพนม พระภิกษุจันทร์ เขมิโย มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง ทั้งงานปกครอง งานการศึกษา และงานเผยแผ่อบรมสั่งสอนประชาชน ในโอกาสต่อมา ทางราชการประสงค์จะแต่งตั้งท่านให้เป็นเจ้าคณะเมือง (คือเจ้าคณะจังหวัด) ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ท่านได้พิจารณาเห็นว่าตัวเองยังมีอายุพรรษาน้อยเพียง 7 พรรษาเท่านั้น ขาดประสบการณ์ในการปกครองคณะสงฆ์และความรู้ก็น้อย ท่านจึงปฏิเสธไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว แต่ขอเวลาไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมที่กรุงเทพฯ

เมื่อทราบความประสงค์ดังนั้น พระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ก็ได้ทำหนังสือส่วนตัวฉบับหนึ่ง กราบนมัสการเรียน ท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวโร) (ต่อมาได้เป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์) เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เพื่อขอฝากฝังพระภิกษุจันทร์ เขมิโย กับคณะ ให้ได้พักอาศัยเพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ในปี พ.ศ.2451 พระภิกษุสามเณรจำนวน 5 รูป ซึ่งมีพระภิกษุจันทร์ เขมิโย เป็นหัวหน้า ก็ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยเดินเท้าจากนครพนมไปขึ้นรถไฟที่โคราช สิ้นเวลา 24 วัน จากนั้นนั่งรถไฟจากโครราชเข้ากรุงเทพฯ ไปพักอยู่วัดเทพศิรินทราวาส ท่านตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ได้รับพัดตราธรรมจักรไว้เป็นประกาศนียบัตร

ส่วนบาลีท่านสอบไล่ได้ประโยค ป.ธ.2 กำลังหัดแปลพระธรรมบทเพื่อสอบประโยค ป.ธ.3 ก็ได้รับหนังสือนิมนต์จากพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม ในหนังสือฉบับนั้นกล่าวว่า พระสงฆ์ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวง ที่เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีขุนเมือง (วัดศรีเทพประดิษฐาราม) ได้มรณภาพลง ไม่มีผู้ใดจะทำหน้าที่ดูแลวัดและปกครองพระสงฆ์สามเณร ดังนั้นจึงขอให้พระภิกษุจันทร์ เขมิโย เดินทางกลับมายังเมืองนครพนม

ในขณะเดียวกัน พระยาสุนทรฯ ก็มีหนังสืออีกสองฉบับไปถวายท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณ และทูลถวาย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) กราบทูลถึงความเป็นมาของคณะธรรมยุติกนิกายในเมืองนครพนม และขอให้ส่งตัวพระภิกษุจันทร์ เขมิโย กลับไปเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการบริหารงานของคณะสงฆ์ต่อไป เมื่อเห็นความจำเป็นจนไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้พระภิกษุจันทร์ เขมิโย จึงเข้าเฝ้าสมเด็จพระสงฆราชเจ้าฯ เพื่อกราบทูลลา พระองค์ทรงมีพระเมตตาประทานโอวาทและนโยบายในการบริหารงานคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย พร้อมทั้งได้ประทานกับปิยภัณฑ์เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับจำนวน 80 บาท (ในสมัยนั้นถือว่าเป็นจำนวนมากพอสมควร)

นอกจากนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ยังได้ประทานหนังสือเรียนทั้งนักธรรมและบาลีเป็นจำนวนมากมาย บรรทุกรถลากได้ 3 คันรถ พระภิกษุจันทร์เดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดนครราชสีมาโดยรถไฟ ต่อจากนั้นจึงจ้างเกวียนบรรทุกสิ่งของและหนังสือ เดินทางผ่านจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ครั้งถึงจังหวัดหนองคายก็หมดระยะทางเกวียน ต้องจ้างเรือกลไฟของฝรั่งเศสบรรทุกสิ่งของไปตามแม่น้ำโขงจนกระทั่งถึงจังหวัดนครพนม

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระภิกษุจันทร์ เขมิโย ก็ทำหน้าที่บริหารงานคณะสงฆ์ เพียรอุทิศชีวิตเพื่อพิทักษ์ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ท่านได้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาไทยแผนใหม่ขึ้นที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม พร้อมทั้งได้เปิดสอนปริยัติธรรมทั้งแผนกนักธรรม แผนกธรรมศึกษา และแผนกบาลี พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เป็นผู้มีปฏิปทาอันน่าเลื่อมใสและควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ท่านเป็นพระนักพัฒนาที่เอาจริงเอาจังและทำงานอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้าง (วัดศรีขุนเมือง) ให้เจริญรุ่งเรือง มีอุโบสถ ศาลาบำเพ็ญกุศล เสนาสนะสงฆ์ และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ อีกมาก เป็นต้น

นอกจากการพัฒนาทางด้านวัตถุแล้ว พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ยังได้พัฒนาจิตใจของคณะศรัทธาญาติโยมและประชาชนทั่วไปควบคู่กันไปด้วยในวันธรรมสวนะ ทั้งในและนอกพรรษา พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ก็จะแสดงธรรมให้พระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา ฟังเป็นประจำ นอกจากนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ยังได้แนะนำฝึกอบรมพระสงฆ์ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกา ให้ได้รู้จักปฏิบัติกรรมฐานเจริญสมาธิภาวนา เพื่ออบรมจิตใจให้มีความมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรม

ในปี พ.ศ.2464 พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ผู้เคยเป็นอาจารย์ของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ได้ออกเดินธุดงค์กรรมฐาน จาริกแสวงหาความวิเวกจากจังหวัดอุบลราชธานีมาถึงจังหวัดนครพนม และได้มาพำนักอยู่วัดศรีเทพประดิษฐาราม ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าใหญ่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญเพียร พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ได้ออกธุดงค์ติดตามพระอาจารย์เสาร์ไปด้วย โดยมุ่งข้ามไปฝั่งประเทศลาว เนื่องจากมีภูเขาสลับซับซ้อน มีถ้ำหรือเงื้อมเขามากมาย ควรแก่การเข้าไปพักอาศัยบำเพ็ญภาวนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านเดินธุดงค์ผ่านไปถึงหมู่บ้านใด ก็จะชี้แจงแสดงธรรมให้ชาวบ้านเข้าใจหลักพระพุทธศาสนา และให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลห้า

ต่อมาในปี พ.ศ.2471 พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ และลูกศิษย์ได้ออกธุดงค์ข้ามไปฝั่งประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง ผ่านเมืองต่างๆ ของลาว ไปจนถึงเขตประเทศเวียดนาม เดินธุดงค์ต่อไปผ่านเมืองท่าไฮฟอง เมืองเว้ เมืองไซง่อน ได้ประสบพบเห็นความทุกข์ยากลำบากของชาวเวียดนามเพราะข้าวปลาอาหารไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์

คุณงามความดีที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณฯ ได้ประพฤติปฏิบัติมาด้วยความเพียรพยายามอย่างสุดความสามารถ ทำให้กิจการพระศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาตามลำดับ สามารถปลูกศรัทธาปสาทะให้เกิดขึ้นในจิตใจของคณะศรัทธาญาติโยมและประชาชนทั่วไป จึงทำให้ทางการบ้านเมืองและคณะสงฆ์เห็นความสำคัญของท่าน จึงได้ยกย่องเทิดทูนท่านไว้ในตำแหน่งสมณศักดิ์ตามลำดับ ดังนี้

พ.ศ.2474 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศที่ พระครูสารภาณพนมเขต ตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครพนม

พ.ศ.2480 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระสารภาณมุนี

พ.ศ.2496 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสารภาณมุนี

พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพสิทธาจารย์

๏ ธรรมโอวาท

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เป็นพระสงฆ์ที่แสดงธรรมได้จับใจไพเราะ มีโวหารปฏิภาณดี ธรรมโอวาทของท่านที่พร่ำสอนพระภิกษุสามเณร และคณะศรัทธาญาติโยมอยู่เสมอ คือ เรื่อง “การเตรียมตัวเตรียมใจ” ซึ่งมีใจความดังนี้

“เราเกิดมาในชาติหนึ่งๆ อย่าปล่อยให้ร่างกายของเราเหมือนเรือไหลล่อง ผู้เป็นเจ้าของต้องเตรียมตัวระมัดระวังหางเสือของเรือไว้ให้ดี ผู้ใดเผลอผู้ใดประมาท ผู้นั้นมอบกายของตนให้เป็นเรือไหลล่องไปตามกระแสน้ำ ผู้นั้นเรียกว่า โง่น่าเกลียดฉลาดน่าชัง เป็นยาพิษ เรือที่เรานั่งไปนั้นหากมันล่มลงในกลางน้ำ จระเข้ก็จะไล่กิน กระโดดขึ้นมาบนดิน ฝูงแตนก็ไล่ต่อย คนเราเกิดมามีกิเลส เรียกว่า กิเลสวัฏฏะ เป็นเชือกผูกมัดคอ

ผู้มีกิเลสต้องทำกรรม เรียกว่า กรรมวัฏฏะ ซึ่งก็เป็นเชือกมัดคออีกเส้นหนึ่ง ผู้ที่ทำกรรมไว้ย่อมจะได้เสวยผลของการกระทำ เรียกว่า วิปากวัฏฏะ เป็นเชือกเส้นที่สามมัดคอไว้ในเรือนจำ เราทุกคนต้องสร้างสมอบรมปัญญา ซึ่งสามารถทำลายเรือนจำให้แตก ผู้ใดทำลายเรือนจำไม่ได้ ผู้นั้นก็จะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะนี้เรื่อยไป เพราะฉะนั้น เราทุกคนจะต้องเตรียมตัวเป็นนักกีฬา ต่อสู้ทำลายเรือนจำให้มันแตก อย่าให้มันขังเราไว้ต่อไป คนเราจะไปสวรรค์ก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ไปสู่อบายภูมิก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องดำเนินชีวิตในทางที่ดีที่งาม

อยากดีต้องทำดีเป็น อยากได้ต้องทำได้เป็น อยากดีต้องละเว้นทางเสื่อม ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ นิททาสีลี อย่าพากันนอนตื่นสาย สภาสีลี ผู้ใดอยากดี อย่าพากันพูดเล่น อนุฏฐาตา ผู้ใดอยากดี ให้พากันขยันหมั่นเพียร อลโส ผู้ใดอยากดี อย่าเป็นคนเกียจคร้าน ผู้ใดอวดเก่งผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาด ผู้ใดอวดฉลาดผู้นั้นเป็นคนโง่ ผู้ใดคุยโวผู้นั้นเป็นคนไม่เอาถ่าน อยากเป็นคนดีต้องทำดีถูก เรียนหนังสือเพื่อรู้ ดูหนังสือเพื่อจำ ทำอะไรต้องหวังผล เกิดมาเป็นคนต้องมีความคิด อุบายเครื่องพ้นทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่อื่นไกล หากแต่อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะรอบคอบในทุกอิริยาบถ”

๏ ปัจฉิมบท

ด้วยเหตุนี้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงปู่พระเทพสิทธาจารย์ เป็นพระเถระผู้ใหญ่มีอายุพรรษาสูง เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์ ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม มีพรหมวิหารธรรมเป็นที่ตั้ง กิริยามารยาทนุ่มนวล มีวาจาไพเราะ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจึงเป็นที่เคารพสักการบูชาของพระภิกษุสามเณร และคฤหัสถ์ทั่วไป

ผู้ที่เคารพนับถือท่านเจ้าคุณหลวงปู่มากก็มี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพฯ ซึ่งมักไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ อีกรูปหนึ่งที่เคารพรักหลวงปู่มากถึงกับฝากตัวเป็นลูกคือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ มักจะเรียกหลวงปู่เจ้าคุณว่า “หลวงพ่อ” และหลวงปู่เจ้าคุณก็เรียกสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ สมัยเป็นเจ้าคุณว่า “เจ้าคุณลูก” หลวงปู่เจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์นับว่าเป็นพระสุปฏิปันโนชั้นเยี่ยมองค์หนึ่ง ท่านได้ประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเรื่อยมา เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิบัติ

กาลเวลาผ่านไป วัยสังขารและรูปกายของท่านเจ้าคุณหลวงปู่พระเทพสิทธาจารย์ ก็เป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ ย่อมแตกดับสลายไปในที่สุด ดุจผลไม้สุกงอมเต็มที่ ย่อมร่วงหล่นหลุดจากขั้ว ฉะนั้น สุดวิสัยที่คณะแพทย์จะช่วยไว้ได้ ท่านถึงมรณภาพด้วยโรคชรา ในวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2516 สิริรวมอายุได้ 92 ปี พรรษา 72 ศพของหลวงปู่เจ้าคุณได้เก็บรักษาไว้ให้คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ และประชาชนโดยทั่วไป ได้กราบไหว้บูชาและบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายเรื่อยมา จนถึงวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2522 จึงได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพของท่าน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานเพลิงศพ ทางฝ่ายคณะสงฆ์ก็มี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระเถรานุเถระและคณาจารย์ทั่วประเทศ ได้ไปร่วมงานพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เจ้าคุณเหลือคณานับ

หลวงปู่จันทร์ เขมิโย กับ ปลาพระโพธิสัตว์

หลายคนคงจะสงสัยว่า การเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อจะไปเป็นพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั้น มีจริงหรือไม่ ลองอ่านเรื่องนี้แล้วพิจารณาดู

เหตุเกิดที่จังหวัดนครพนม ณ วัดศรีเทพประดิษฐาราม โดยท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) ท่านเล่าเอาไว้ว่า มีอยู่คืนหนึ่งท่านกำลังทำสมาธิกรรมฐาน ก็ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในสมาธิ เป็นภาพของแอ่งน้ำกำลังแห้งมีปลาอยู่ ๖ ตัว เป็นปลาหมอ ๓ ตัว ปลาดุก ๓ ตัว กำลังดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่ ท่านจึงกำหนดจิตถามว่า เป็นคู่เวรคู่กรรมมาทวงหนี้เวรกรรมหรือไม่

ปลาเหล่านั้นตอบว่า พวกเราเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นปลาเพื่อบำเพ็ญบารมี แต่ถูกกระแสกรรมทำให้ถูกนายบุญช่วย สุวรรณทรรภ จับมาขังเอาไว้ในตุ่มน้ำในสวนกล้วยติดหลังวัด ตอนนี้น้ำกำลังแห้ง ถ้าตายก่อนจะหมดโอกาสบำเพ็ญบารมี

หลวงปู่จึงถามว่า เหตุใดจึงมาปรากฏในข่ายฌานสมาธิของท่าน

ปลาโพธิสัตว์เหล่านั้นตอบว่า พวกเราตั้งจิตอธิษฐานว่า ด้วยกุศลผลบุญที่บำเพ็ญเพียรเพื่อปรารถนาพุทธภูมิในอนาคต ขอให้เราได้ปรากฏในข่ายฌานของผู้ทรงศีล ที่เคยเกื้อกูลกันมาก่อนในอดีตชาติ จึงได้มาปรากฏในข่ายวิถีฌานสมาธิของท่าน

ตอนแรกหลวงปู่คิดว่าเป็นนิมิตมายา จึงอธิษฐานจิตซ้ำว่าถ้าเป็นภาพนิมิตมายาขอให้ดับหายไป ถ้าเป็นนิมิตจริงขอให้ปลาเหล่านี้สวดพระพุทธคุณให้ได้ยิน ปรากฏว่าเมื่ออธิษฐานเสร็จ ปลาเหล่านั้นก็พากันสวดสรรเสริญพระพุทธคุณว่า นโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ตัวละ ๓ จบเรียงกันไปจนครบหกตัว ท่านได้ยินดังนั้นจึงรับปากว่าจะช่วย

รุ่งเช้าท่านออกบิณฑบาตไปจนถึงบ้านของโยมอุปัฏฐาก วันนั้นลูกสาวของโยมอุปัฏฐากชื่อ เยี่ยม หอมหวล อายุขณะนั้น ๑๐ ขวบ เมื่อใส่บาตรแล้วก่อนที่หลวงปู่จะไปบ้านอื่นต่อ จึงสั่งเด็กหญิงผู้นั้นว่า ตอนสางหลังกินข้าวเสร็จแล้วให้เอาขันน้ำใบใหญ่ๆ ไปหาท่านที่วัดด้วย

หลังจากนั้นเด็กหญิงก็เอาขันน้ำไปที่วัดตามที่หลวงปู่สั่ง เมื่อไปถึงหลวงปู่ก็สั่งว่าให้เอาน้ำใส่พอประมาณและให้ไปขอปลาหกตัวกับนายบุญช่วย ที่ขังเอาไว้ในตุ่มน้ำในสวนกล้วยติดกับหลังวัด ซึ่งเด็กหญิงผู้นี้ก็รู้จัก พร้อมกำชับไว้ด้วยว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องเอาปลามาให้ได้

เมื่อเด็กหญิงไปถึงพบนายบุญช่วย จึงบอกว่าเจ้าคุณปู่ให้มาขอปลาหกตัว เป็นปลาหมอ ๓ ตัวปลาดุก ๓ ตัวที่ขังไว้ในสวนกล้วย นายบุญช่วยแปลกใจ แต่ก็บอกว่าไม่รู้ว่าปลามีหรือไม่ ถ้าไม่มีให้กราบเรียนหลวงปู่ด้วยว่าไม่มี แล้วไปที่สวนกล้วย

พอไปถึงกระต๊อบท้ายสวน นายบุญช่วยก็นึกได้ว่าตนเคยไปหาปลาและได้นำมาขังไว้จริง แต่นานแล้วจนลืม จึงอุทานว่าหลวงปู่เก่งจังที่รู้ว่าตนขังปลาไว้จนลืมไปแล้ว จึงรีบไปดูที่ตุ่มกลางกอกล้วย ปรากฏว่าเห็นปลาอยู่หกตัวตามที่หลวงปู่บอกมาจริง จึงจับปลาใส่ขันให้เด็กหญิง แล้วตามมาจนถึงวัด

เมื่อพบหลวงปู่ จึงบอกว่าหลวงปู่เก่งที่รู้ว่ามีปลาถูกขังจนลืม

หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่เก่ง ปลาเหล่านี้ต่างหากที่เก่ง เพราะสามารถส่งกระแสจิตไปขอความช่วยเหลือจากท่านได้ โชคยังดีที่ยังไม่ได้เอาไปทำอาหาร เพราะจะเดือดร้อนทั้งครอบครัว จากนั้นหลวงปู่ก็ทำน้ำมนต์พรมให้ปลาแล้วอธิษฐานให้ปลานั้นปลอดภัย สามารถบำเพ็ญบารมีต่อได้จนหมดอายุขัย แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำโขง น่าแปลกคือ เมื่อปล่อยปลาลงน้ำแล้วแทนที่มันจะรีบว่ายหนี กลับพากันกระโดดขึ้นเหนือน้ำสามครั้งเหมือนกับจะแสดงการคารวะหลวงปู่ จากนั้นก็พากันว่ายน้ำหายไป

จาก...หนังสือ “ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่จันทร์”
คณะศิษยานุศิษย์พิมพ์อุทิศถวายท่านเจ้าคุณปู่
พระเทพสิทธาจารย์ (เขมิยเถระ จันทร์ สุวรรณมาโจ)
ในงานเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพพระเทพสิทธาจารย์
ณ เมรุวัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม
วันเสาร์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๕๐
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19642

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...