ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ

วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม

๏ ชาติภูมิ

พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร” หรือ “หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ” อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม ผู้เรืองธรรม มีปฐวีกสิณเป็นเอก ชื่อเสียงเลื่องลือ ๒ คาบฝั่งโขง เป็นสมัญญานามที่ผู้คนต่างรู้จักดีถึงกับมีการขนานนามท่านว่า “เทพเจ้าลุ่มน้ำโขง”

หลวงปู่คำพันธ์ มีนามเดิมว่า คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๒ ปีเถาะ ณ บ้านหมู่ที่ ๔ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเคน และนางล้อม ศรีสุวงค์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๒ คน ท่านเป็นบุตรคนโต มีชื่อตามลำดับดังนี้



(๑) หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ (มรณภาพแล้ว)

(๒) นายพวง ศรีสุวงค์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)

และมีน้องร่วมมารดา แต่ต่างบิดากันอีก ๔ คน ตามลำดับดังนี้

(๑) นางสด วงษ์ผาบุตร (ถึงแก่กรรมแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)

(๒) ด.ช.บด แสนสุภา (ถึงแก่กรรมแล้ว)

(๓) ด.ญ.สวย แสนสุภา (ถึงแก่กรรมแล้ว)

(๔) นางกดชา เสนาช่วย (ถึงแก่กรรมแล้ว)

วัยเด็กเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยโยมบิดา-โยมมารดาทำนา อุปนิสัยเป็นคนเรียบง่าย เรียบร้อย พูดน้อย จบการศึกษาภาคบังคับ ป. ๔ จากโรงเรียนบ้านโพนคู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

๏ การบรรพชาและอุปสมบท

วันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ ปี) ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชื่อม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาแล้ว ก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคามแบบโบราณ ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานควบคู่ไปด้วย

หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรได้ ๓ พรรษา ก็ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่ จ.เลย พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก ท่านพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล ซึ่งท่านไปอบรมสั่งสอนประชาชนที่วัดโพนเมือง จ.อุบลราชธานี

ท่านพระอาจารย์เสาร์ให้แนวทางในการปฏิบัติกัมมัฏฐานไว้ว่า “ให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก” และได้ให้ข้อคิดต่อไปอีกว่า “ร่างกายของคนเรานั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ” นอกจากนั้นท่านพระอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า “ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก” ซึ่งก็หมายความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดี ให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง

หลวงปู่ได้ศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์เสาร์ประมาณ ๑ ปี และได้ยึดแนวทางของท่านเป็นแนวทางในการปฏิบัติเรื่อยมา นับแต่นั้นต่อมาก็ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับ อาจารย์ครุฑ ซึ่งเป็นพระขาว (ปะขาว) และได้รับความรู้ในเรื่องการปฏิบัติธรรมจากท่านอาจารย์ครุฑนี้เพิ่มเติมเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ก็ได้นำเอาแนวทางการปฏิบัติของอาจารย์ทั้ง ๒ มาเป็นแนวทางปฏิบัติกัมมัฏฐาน

หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่ จ.เลย เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยัง จ.เชียงราย ประมาณ ๓-๔ เดือน ต่อมาได้รับข่าวโยมบิดาได้เสียชีวิตลง หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมาทำบุญงานศพโยมบิดา

พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี โยมมารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คนซึ่งยังเล็กมาก ท่านจึงได้ลาสิกขาออกไปเลี้ยงดูน้องๆ

วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุอีกครั้ง ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์ชัย บ้านพุ่มแก ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม ได้รับนามฉายาว่า “โฆสปัญโญ” ซึ่งแปลว่า ผู้มีปัญญาระบือไกล, ผู้มีปัญญาอันดังกึกก้องระบือไกล และได้ออกไปอยู่จำพรรษาที่วัดป่าเป็นเวลา ๓ พรรษา

ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมด้วย ที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆ ในเขต จ.นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคาย และข้ามไปฝั่งลาวประมาณ ๓-๔ เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเดิม คือ อ.นาแก อยู่ประมาณ ๓ ปี และญาติโยมชาวบ้านก็นิมนต์ท่านให้เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเพื่อโปรดญาติโยมชาวบ้านบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้วหลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ จนอายุถึง ๔๐ ปีท่านจึงหยุดเดินธุดงค์ แต่ก็พยายามศึกษาปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานมาโดยตลอดจนกระทั่งมรณภาพ

พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก มาสร้างบ้านและวัดใหม่ที่โนนมหาชัย ให้ชื่อบ้านว่า “บ้านมหาชัย” ในปัจจุบันนี้ และได้สร้างวัดใหม่ คือ “วัดธาตุมหาชัย” (เดิมชื่อ วัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน


๏ การศึกษาเบื้องต้นและพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๔๗๒ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนบ้านโพนดู่ บ้านโพนดู่ ต.พุ่มแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม


๏ การศึกษาพิเศษ

- เมื่อหลวงปู่สอบได้นักธรรมชั้นเอกได้แล้ว ก็ได้พยายามศึกษาพิเศษ เช่น ศึกษาหนังสืออักษรธรรม อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และมีความชำนาญมาก

- ทรงจำพระปาฏิโมกข์ได้แม่นยำ เป็นพระผู้สวดพระปาฏิโมกข์ในวันทำสังฆกรรมอุโบสถ ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมาโดยตลอด

๏ ความชำนาญการ

- มีความชำนาญการแสดงพระธรรมเทศนาโวหาร บรรยายธรรม เทศนาธรรม และเทศนาธรรมแบบปุจฉาวัสัชนา ๒ ธรรมาสน์ จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเขตอีสานเหนือ ยากที่จะหาพระธรรมกถึกรูปอื่นเสมอเหมือนในสมัยนั้น

- มีความชำนาญการเทศนาธรรม ทำนองแหล่ภาษาอีสาน มีความสามารถในการประพันธ์กลอนแหล่ทำนองอีสานได้ เช่น กลอนอัญเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง, พระเวสสันดรทรงพบพระประยูรญาติ, พระเวสสันดรลาป่า, นางมัทรีเดินป่า เป็นต้น

- เป็นพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่สายพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล, พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ให้การอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานประจำที่วัดป่ามหาชัย, วัดส้างพระอินทร์ และวัดภูพานอุดมธรรม (วัดภูพานดานสาวคอยวนาราม) จ.นครพนม เป็นต้น

- มีความชำนาญการด้านนวัตกรรม การออกแบบก่อสร้างเสนาสนะ ทั้งงานไม้ งานปูน โดยเป็นผู้นำในการก่อสร้างกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ และพระธาตุมหาชัย (การก่อสร้างครั้งแรกๆ ท่านทำเองทั้งหมด เพราะสมัยนั้นไม่มีช่างผู้ชำนาญการ และเงินงบประมาณก็มีไม่เพียงพอ)


๏ งานการศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้ตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรมวัดธาตุมหาชัย ทั้งแผนกธรรม-บาลีขึ้นจนสามารถมีลูกศิษย์สอบนักธรรม ได้เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และมีลูกศิษย์สามารถสอบเปรียญธรรมได้ทุกปี ปีละหลายๆ รูป ทำให้การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี ของอำเภอปลาปากดีขึ้นตามลำดับ

พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ได้จัดตั้งทุนมูลนิธิการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกธรรม-บาลี ขึ้นที่วัดธาตุมหาชัย เพื่อส่งเสริมและมอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีความรู้ความสามารถสอบนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ได้ และสามารถสอบเปรียญธรรมได้ รวมทั้ง หลวงปู่ยังให้ทุนการศึกษาแก่ลูกศิษย์ที่ไปเรียนต่ออีกด้วย


๏ งานการศึกษาสงเคราะห์

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่ได้จัดตั้งกองทุนมูลนิธิการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ยากจน ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเขตอำเภอปลาปาก และทุกอำเภอในเขตจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ ๑๐ เดือนมกราคมของทุกๆ ปี หลวงปู่คำพันธ์จะมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกอำเภอๆ ละ ๙ ทุน และมอบทุนให้เป็นค่าอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนต่างๆ ด้วย

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่คำพันธ์ได้สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้นที่บ้านนกเหาะ ต.โคกสูง อ.ปลาปาก จ.นครพนม ตั้งชื่อโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ว่า ธรรมโฆษิตวิทยา มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลวงปู่คำพันธ์ยังได้เป็นผู้อุปถัมภ์โรงเรียนแห่งนี้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงปู่คำพันธ์ได้ขออนุญาตสร้างโรงเรียนสุนทรธรรมากร และในปัจจุบันนี้ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ชื่อว่า โรงเรียนมัธยมมหาชัยธรรมากร เพราะตั้งอยู่ที่บ้านโนนศรีชมภูทางแยกเข้ามาบ้านมหาชัย หลวงปู่ก็ให้การอุปถัมภ์ในทุกวันนี้และได้จัดบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนเป็นประจำ


๏ งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยพระธรรมฑูต ฝ่ายกำกับการพระธรรมฑูต อ.ปลาปาก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่ได้ร่วมมือกับคณะสงฆ์และทางราชการออกไปอบรมประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ในเขตการปกครอง และร่วมกับหน่วยงานของราชการทุกหน่วยงานออกไปอบรมตามโครงการหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของ อ.ปลาปาก และยังได้ติดตามคณะพระธรรมฑูตจากส่วนกลางออกเยี่ยมเยียนประชาชนในเขตอำเภอปลาปาก โดยสม่ำเสมอมาตลอดทุกปี

ในฐานะพระนักเทศน์มักมีข้อธรรมกถาที่แยบยล รวมทั้งคำสั่งสอนเข้าใจง่าย ทุกบท ทุกวลี มีธรรมาภินิหาร ความหมายกินใจ ประจักษ์แจ้งแก่ผู้ฟังทั้งสิ้น

๏ งานสาธารณูปการ

พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นประธานสร้างหอระฆัง วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นประธานนำชาวบ้านญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก ที่พากันติดตามหลวงปู่มา สร้างวัดใหม่ที่โนนมหาชัย ใช้ชื่อวัดว่า วัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน) บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นประธานสร้างพระคู่บ้านมหาชัย “พระพุทธศักดิ์สิทธิ์”

พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงปู่ได้เป็นประธานนำคณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้านมหาชัย สร้างธาตุเจดีย์ขึ้นภายในวัด ซึ่งมีลักษณะทรงแปดเหลี่ยมด้วยศิลาแลงเสริมคอนกรีต สูง ๑๕ เมตร ตั้งชื่อว่า “พระธาตุมหาชัย” เพื่อเป็นหลักบ้านให้แก่ชาวมหาชัย ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุ ๔ องค์ ได้แก่ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระสารีบุตร พระอานนท์ และพระอนุรุทธะ

วันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ที่ “พระธาตุมหาชัย” และทรงเวียนเทียนรอบองค์พระธาตุด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยข้าราชบริพารและพสกนิกร ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นประธานสร้างกำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างวัดป่ามหาชัย (วัดป่าอรัญญคาม) และในปีเดียวกันนั้นเองหลวงปู่ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระปรมาภิไธยย่อ (ภปร.) ประดิษฐานไว้ที่หน้าบันอุโบสถ วัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)

วัดป่ามหาชัย (วัดป่าอรัญญคาม) สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติธรรมและเป็นศูนย์รวมการเผยแผ่พุทธธรรม โดยมีการอบรมปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานทุกๆ ปี ระหว่างเดือนธันวาคม-มกราคม และเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาจะมีการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตลอดไตรมาส

พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่อีกหลังหนึ่ง และหลวงปู่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อจากเดิมคือ วัดโฆษการาม เป็น วัดธาตุมหาชัย จนกระทั่งถึงปัจจุบัน และในปีเดียวกันนั้นหลวงปู่ได้เป็นประธานสร้างศาลาการเปรียญ-หอสมุดภายในวัด

พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงปู่ได้สร้างหอพระไตรปิฎก หอระฆัง

พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนธรรมโฆษิตวิทยา”

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนธรรมากรวิทยา”

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างพระธาตุมหาชัยครอบองค์เดิม

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “พระพุทธการุณ” ณ วัดส้างพระอินทร์

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม “โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม”

พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นประธานสร้างตึกผู้ป่วย โรงพยาบาลปลาปาก

๏ การสร้างวัตถุมงคล

นอกจากงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว ในด้านวัตถุมงคลท่านก็โด่งดังยิ่งนัก แต่เริ่มเดิมทีหลวงปู่คำพันธ์ท่านหาได้สนใจจัดสร้างไม่ ท่านนั่งปลุกเสกสร้างวัตถุมงคลไปแล้วไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ รุ่น เพื่อนำปัจจัยไปพัฒนากิจการด้านการศึกษา การศาสนา การสังคม และวัฒนธรรมพื้นถิ่น

วัตถุมงคลรุ่นแรกเป็นเหรียญรุ่นหยดน้ำ สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ต่อมาในช่วงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕ ทางวัดธาตุมหาชัยกำลังพัฒนา หลวงปู่คำพันธ์จึงได้สร้างอิทธิมงคลขึ้น ชื่อชุด “มหาชัยมงคล” เป็นพระสมเด็จปรกโพธิ์หล่อ และล็อกเกตอุดผงตะกรุดทองคำ ซึ่งท่านได้ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลนี้เป็นกรณีพิเศษ เพื่อนำปัจจัยมาสมทบทุนมูลนิธิสังฆศาสน์ และเป็นทุนพัฒนาวัดธาตุมหาชัย

รวมทั้ง เหรียญรุ่นมหาปรารถนา สร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และเป็นเหรียญรุ่นสุดท้าย ซึ่งกองทัพบกสร้างขึ้น และได้ขอบารมีให้ท่านปลุกเสก

ในจำนวนวัตถุมงคลที่สร้างและออกในนามหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย ทุกรุ่น จะพบว่า ยันต์ด้านหลังเหรียญที่พบมากที่สุด คือ “ยันต์สมปรารถนา” ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นยันต์เฉพาะตัวของหลวงปู่คำพันธ์ก็ว่าได้

ส่วนที่มาของยันต์นั้น หลวงปู่คำพันธ์ได้มาจากจารึกบนแผ่นศิลา ใต้ฐานองค์พระธาตุพนม ซึ่งค้นพบหลังจากพระธาตุพนมล้มลง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยหลวงปู่คำพันธ์กล่าวไว้ว่า “ภาษาจารึกเป็นภาษาสวรรค์” ทั้งนี้ หลวงปู่ได้นำมาปรับแต่ง และเขียนยันต์ขึ้นใหม่ เพราะท่านศึกษาอักษรธรรมอีสาน อักษรขอม อักษรไทยน้อย อ่านเขียนได้คล่องแคล่ว และมีความชำนาญมาก โดยใช้ชื่อว่า “ยันต์สมปรารถนา”

ส่วนพระคาถาที่หลวงปู่คำพันธ์ใช้ในพิธีอธิษฐานจิต ปลุกเสกมหามนตราศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคล คือ “คาถาพระพุทธเจ้า” โดยบริกรรมว่า “ทิตะ ศิรา ทันนันฑะ โลกะ ลิลากะ ละลาสติโป จะติโห คะหะตะเน”

“ยันต์สมปรารถนา” ของหลวงปู่คำพันธ์ มีความพิเศษกว่ายันต์ของพระเกจิอาจารย์รูปอื่นๆ คือ เขียนด้วยอักขระขอม และอักขระธรรมอีสาน ซึ่งปกติแล้วการเขียนยันต์ทั่วๆ ไปจะใช้อักขระเดียวเท่านั้น อักขระที่ใช้เขียนยันต์มี ๖ ภาษา ได้แก่ อักขระขอม อักระธรรมล้านนา อักขระธรรมอีสาน อักขระมอญ อักขระพม่า และอักขระสิงหล ซึ่งเมื่อเทียบเคียงแล้ว จะพบว่าอักขระทั้ง ๖ ภาษา (ถ้ารวมไทยด้วย ๗ ภาษา) บางตัวเขียนคล้ายกันมาก เช่น ก.ไก่ ย.ยักษ์ และ ว.แหวน เป็นต้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการประดิษฐ์อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชในสมัยสุโขทัยนั้น ประยุกต์หรือปรับปรุงมาจากอักษรมอญ และขอม ซึ่งมีการใช้อักษรมาก่อน


๏ ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษาวัดธาตุมหาชัย แผนกธรรมและบาลี

พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอปลาปาก


๏ ลำดับสมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๕๑๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่ “พระครูสุนทรธรรมโฆษิต”

พ.ศ. ๒๕๒๐ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามที่ “พระสุนทรธรรมากร” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้เป็นต้นธรรมที่ดีพร้อม”

แม้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะ แต่ใจท่านเป็นพระเต็มตัว ละแล้วซึ่งกิเลส ไม่ยึดติดในลาภสักการะคำสรรเสริญเยินยอใดๆ

๏ หลวงปู่คำพันธ์ ธุดงค์ผ่านภูลังกา

จากประวัติ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ บันทึกว่า ท่านได้เดินรุกขมูลขึ้นไปตามลำแม่น้ำโขง เข้าเขตอำเภอบ้านแพงขึ้นภูลังกา ยามเย็นได้ไปยืนอยู่ที่หน้าผาฝั่งตะวันตกในเขตบึงโขงหลง มองลงมาข้างล่างเห็นฝูงช้างจำนวนมาก บางตัวก็มีลูกอ่อน พากันหักต้นกล้วยป่ากินเป็นอาหารแบบสบายอารมณ์ ฝูงละ ๕ ตัวบ้าง ๖ ตัวบ้าง

จากการค้นคว้าประวัติครูบาอาจารย์ ทำให้รู้ว่าอาณาบริเวณถ้ำชัยมงคล (ถ้ำหลวงปู่วัง ฐิติสาโร) ที่ยอดภูลังกา โดยรอบ คือดินแดนที่พระอริยสงฆ์แต่อดีตถึงปัจจุบันได้ขึ้นมาบำเพ็ญเพียรภาวนามิได้ขาด น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ ดินแดนแห่งนี้กลับกลายเป็นแหล่งหาผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มไปเสียแล้ว


๏ ศึกษาเคล็ดลับวิชา “น้ำมนต์พระจันทร์”
กับหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วัดท่าดอกแก้วเหนือ

“น้ำมนต์พระจันทร์” นี้เป็นพระพุทธมนต์ที่มีมาแต่โบราณกาล จะเกิดขึ้นแห่งใดเป็นแห่งแรกไม่ปรากฏแน่ชัด แต่คาดว่ามาจากพระพุทธศาสนาลัทธิหินยาน (เถรวาท) จากประเทศจีน ตอนหลังตกมายังประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา และล่าสุดคือประเทศไทย

หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ เคยเล่าให้ “คุณอาคม ทรงสถาพรเจริญ” ฟังว่า ช่วงที่ท่านเดินธุดงค์โดยมีเณรอุปัฏฐากติดตามไปด้วย ได้เดินเทศน์หาปัจจัยสร้างโบสถ์ วัดพระพุทธบาทจอมทอง อ.นาแก จ.นครพนม เดินทางจาก อ.นาแก จนกระทั่งเข้าสู่หนองคาย ระยะทางประมาณสามร้อยกว่ากิโลเมตร เดินทางผ่านลำห้วยใหญ่แต่ละแห่งได้พบปะภูมิเจ้าที่และผีเปรตมาขอส่วนบุญ ตลอดจนสัตว์ร้ายนานาชนิด

ช่วงท่านเดินทางมาถึงท่าดอกแก้ว ท่านได้แวะสนทนาธรรมและคาราวะ “พระครูสันธานพนมเขต (หลวงปู่สนธิ์ สุรชโย)” วัดท่าดอกแก้วเหนือ จ.นครพนม ซึ่งสมัยนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่คำพันธ์ได้ศึกษาวิชาบางส่วนจากหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วิชานี้เรียกว่า “น้ำมนต์พระจันทร์” หลวงปู่สนธิ์ท่านพูดว่าผู้เรียนวิชานี้ได้จะต้องมีบุญวาสนาสูง มีสมาธิจิตเป็นเยี่ยม และต้องบรรลุธรรมชั้นสูง ไม่ใช่พระภิกษุรูปใดจะเรียนได้ เมื่อท่านพบกับหลวงปู่คำพันธ์แล้วรู้ว่าสามารถเรียนวิชานี้ได้ จึงมอบวิชานี้ให้ซึ่งเป็นตัวอักษรธรรมลาว

หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ท่านก็ได้ศึกษาเรื่อยมาจนชำนาญ มาพบเสธวรนาถ (พลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี) ท่านเสธวรนาถก็มี “ตำรามนต์พระจันทร์” ได้มาจากกรุงเทพฯ เป็นตำราเก่า คิดว่าเป็นสายวัดสุทัศน์

หลวงตาทอง ศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่คำพันธ์ กล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ท่านพิจารณาแล้ว เสธวรนารถมีความสนใจคงอยากอาบน้ำมนต์พระจันทร์ ซึ่งแต่โบราณกาลตำราของครูบาอาจารย์ลุ่มแม่น้ำโขงที่หลวงปู่คำพันธ์ได้มา น้ำมนต์พระจันทร์ปีหนึ่งอาบได้หนึ่งครั้ง ถ้าจะให้ได้ผลอาบได้ปีละหนึ่งคน คนอาบจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม โดยใช้บาตรน้ำมนต์หนึ่งใบ มีดอกบัวหนึ่งดอกที่ตูมใกล้จะบาน เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตร เวลาประมาณหกทุ่มก็จะเริ่มทำพิธี จุดเทียนขี้ผึ้งแท้ และบริกรรมพระคาถาพร้อมทั้งอธิฐานจิต สร้างธาตุหนุนธาตุเสริมธาตุ ขอบารมีให้ประสบผลสำเร็จตามที่ผู้อาบน้ำมนต์ต้องการ ส่วนผู้ที่อาบน้ำมนต์ต้องอธิษฐานอย่างเดียวว่าต้องการอะไร เช่น ต้องการเป็นแม่ทัพ ต้องการเป็นเศรษฐี ต้องการให้หนี้หมด หรือต้องการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ พอบริกรรมน้ำมนต์เสร็จก็จะเอาบาตรน้ำมนต์มาอาบกลางแจ้งต่อแสงเดือน เทรดลงศีรษะครั้งเดียวเป็นอันเสร็จพิธี ตามตำราผู้ทำมนต์จะต้องอธิษฐานพระคาถาน้ำมนต์พระจันทร์จนดอกบัวบานจึงจะได้ผลและมีพุทธานุภาพสูง”

และในปี พ.ศ.ใด ไม่ทราบข้อมูลละเอียด หลวงตาทองกล่าวว่า “หลวงปู่คำพันธ์ได้ทำน้ำมนต์พระจันทร์ให้กับพลอากาศเอกวรนารถ อภิจารี อาบเพียงผู้เดียวเท่านั้นในลานอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง) คนเต็มวัดฯ”

หลังจากที่หลวงปู่คำพันธ์ได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์ให้แก่ลูกศิษย์ลูกหาที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบหลายคน ทำลูกศิษย์ที่อาบสมปรารถนาด้วยประการทั้งปวงแล้ว จากปากต่อปากของลูกศิษย์และพระเณรในวัดได้พูดต่อกันไป แพร่กระจายกันออกไป ฝูงลูกศิษย์และประชาชนต่างๆ ก็แห่กันเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัย โดยนำเทียนและบาตรน้ำมนต์ติดตัวมา บางคนก็มายืมบาตรน้ำมนต์จากพระและเณรภายในวัด มานั่งรออาบน้ำมนต์ตั้งแต่เวลาประมาณสองทุ่มจนดึก เหมือนกับมีงานมหรสพ ซึ่งบุคคลที่อยากจะอาบน้ำมนต์มีทั้งบุคคลที่มีศีลธรรมและบุคคลที่ไม่มีศีลธรรม นักเลงหัวไม้ก็มี โกงเงินชาวบ้านก็มี แต่มีความต้องการมาอาบน้ำมนต์วันเพ็ญเดือนสิบสอง

หลวงปู่คำพันธ์ท่านพูดว่า “น้ำมนต์ผู้จะอาบต้องเป็นบุคคลประพฤติปฏิบัติดี รักษาศีล และเป็นคนดีเท่านั้น” เพราะฉะนั้นขอยุติการอาบน้ำมนต์พระจันทร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เมื่อหลวงปู่คำพันธ์ท่านหยุดทำน้ำมนต์พระจันทร์ แต่ละปีลูกศิษย์ลูกหาก็เฝ้ารอคอยว่า ปีใดท่านจะใจอ่อนยอมทำน้ำมนต์พระจันทร์อีก ทุกวันเพ็ญเดือนสิบสอง ลูกศิษย์ลูกหาแต่ละคนก็จะเดินทางมายังวัดธาตุมหาชัยและสอดส่องดู บ้างก็โทรศัพท์มาถามพระเณรที่วัดว่ามีการอาบน้ำมนต์หรือไม่ เพราะปรารถนาที่จะได้อาบน้ำมนต์ จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสได้อาบน้ำมนต์

เจ้าคณะจังหวัดนครพนม ในสมัยนั้นคือ พระราชปริยัตยาจารย์ (หลวงพ่อชม ธัมมธีโร) จึงคิดหาวิธีการว่าทำอย่างไรจึงจะให้ลูกศิษย์หลายคนสมปรารถนา จึงขออนุญาตหลวงปู่คำพันธ์สร้างบาตรน้ำมนต์และเหรียญน้ำมนต์ โดยจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองของปีถัดมา

หลังจากนั้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองปีต่อมาเช่นเดียวกัน พระอาจารย์มหาสมัย รักขิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย องค์ปัจจุบัน ก็ขออนุญาตสร้างบาตรน้ำมนต์ และจัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสองเช่นเดียวกัน มีลูกศิษย์ที่อยู่ในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ หรือจังหวัดที่ไกลจากนครพนม ในวันลอยกระทงหรือวันเพ็ญเดือนสิบสองจะนำบาตรน้ำมนต์หรือขันน้ำมาตั้งไว้ในที่แจ้ง ใส่เหรียญน้ำมนต์ลงในบาตรหรือใส่เหรียญหลวงปู่คำพันธ์รุ่นใดรุ่นหนึ่งลงในบาตร นำดอกบัวใส่ในบาตรหนึ่งดอก จุดเทียนเวลาประมาณห้าถึงหกทุ่ม เวลาที่พระจันทร์อยู่ตรงกับบาตรน้ำมนต์ หันหน้ามาทางทางวัดธาตุมหาชัย ถ้าหากอยู่ต่างจังหวัดก็หันหน้ามาทางจังหวัดนครพนม ระลึกถึงหลวงปู่คำพันธ์ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ หรืออาจสวดพาหุงหรือชินบัญชรแล้วแต่คนถนัด แล้วนำน้ำมนต์มาเทอาบเพื่อเป็นสิริมงคล เสมือนหนึ่งได้อาบน้ำมนต์พระจันทร์จากหลวงปู่

๏ ลักษณะนิสัยทั่วไป

พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระมหาเถระ ที่มีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง เยือกเย็น มีความเมตตา กรุณาต่อศิษยานุศิษย์ ตลอดถึงญาติโยมทุกคนที่เข้าหาท่าน ใครก็ตามที่มีปัญหา หรือมีความทุกข์เข้าหาท่าน จะได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างดียิ่ง เสมอกันหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ต่อครูบาอาจารย์และพระเถระที่อาวุโสกว่า หลวงปู่จะแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยไม่เคยจะแสดงอาการแข็งกระด้างใดๆ เลย ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของศิษยานุศิษย์และญาติโยมโดยทั่วไปเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังเป็นพระเถระที่มีความตั้งใจมั่นคงหนักแน่นอีกด้วย จะเห็นได้จากการที่ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้จงได้ คงเป็นเพราะความตั้งใจจริงและความตั้งใจมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลวงปู่ทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี และรวดเร็วเกินความคาดหมายทุกประการ

ตัวอย่างเช่น พระธาตุมหาชัย, อุโบสถวัดธาตุมหาชัย, กำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย และกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ๒ หลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างล้วนแต่ใช้ค่าก่อสร้างจำนวนมากทั้งสิ้น เมื่อคณะศรัทธาญาติโยมที่มีความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ได้ทราบ ต่างก็มีจิตศรัทธาช่วยกันสละกำลังทรัพย์มาช่วยในรูปของกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง จนงานก่อสร้างดังกล่าวสำเร็จรวดเร็วเกินคาด

อีกประการหนึ่ง โดยอุปนิสัยแล้ว หลวงปู่ท่านถือการปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นประจำนับตั้งแต่อุปสมบทพรรษาแรก จนกระทั่งมรณภาพ


๏ การมรณภาพ

พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) ท่านได้ถึงแก่มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบภายในกุฏิจำพรรษา วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖ เวลาประมาณ ๐๑.๕๙ น. ด้วยโรคชราภาพ ประกอบกับมีโรคประจำตัวหลายอย่างแทรกซ้อนหลังจากอาพาธมานานหลายปี สิริอายุรวมได้ ๘๙ พรรษา ๕๙ ท่ามกลางความอาลัยโศกเศร้าของบรรดาคณะสงฆ์ คณะลูกศิษย์ลูกหาที่ใกล้ชิด ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่วไปที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงปู่เป็นยิ่งนัก

วันนี้...หลวงปู่คำพันธ์ พันธุ์ไม้มีแก่นในตัว ท่านสิ้นใจแต่ไม่สิ้นธรรม

รวบรวมและคัดลอกเนื้อหามาจาก ::
เว็บไซต์...วัดธาตุมหาชัย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19512

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...