ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่อุ่น ชาคโร วัดป่าหนองคำ (วัดดอยบันไดสวรรค์) จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูสังวรศีลวัตร (หลวงปู่อุ่น ชาคโร)

วัดป่าหนองคำ (วัดดอยบันไดสวรรค์) ตำบลอุบมุง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

๏ นามเดิม

อุ่น ปลูกสกุล เป็นบุตรของพ่อจารย์สิม และแม่ตู้ ปลูกสกุล

๏ เกิด

เมื่อวันอังคารที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีจอ ณ บ้านดงใหญ่ ตำบลดงใหญ่ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม



๏ อุปสมบท

หลวงปู่อุ่นได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ณ วัดตาลเรียง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม


๏ ญัตติเป็นพระธรรมยุต

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ณ วัดสระจันทร์ ตำบลเมืองเก่า อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น โดยมี พระครูอนุโยคธรรมภาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระมหาจันทร์ ปุริปญฺโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ จากนั้นท่านได้ออกธุดงค์เที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์จนมาพบ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ และหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี

กระทั่งปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงปู่เทสก์จึงได้แนะนำให้ท่านไปขอศึกษาและปฏิบัติธรรมกับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ดังนั้น ท่านจึงได้ไปอยู่ศึกษาปฏิบัติธรรมและข้อวัตรต่างๆ กับท่านพระอาจารย์มั่น จวบจนท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพและถวายเพลิงศพแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์ทำความเพียรทางจิตอยูบริเวณเทือกเขาภูพาน

ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอโนนสัง อยู่ที่วัดทุ่งสว่าง ๑๓ ปี ท่านจึงได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเที่ยวแสวงหาความสงัดบำเพ็ญเพียรทางจิตอยู่บริเวณเทือกเขาภูพาน จนปี พ.ศ. ๒๕๑๔ จึงเริ่มสร้าง วัดดอยบันไดสวรรค์ (หรือวัดป่าหนองคำ ตำบลอุบมุง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี) และอยู่พักจำพรรษาที่นี่เรื่อยมา ซึ่งท่านได้รักษาปฏิปทาพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นมาโดยตลอด


๏ สมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานพัดยศเป็น พระครูสังวรศีลวัตร


๏ มรณภาพ

วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ เวลา ๐๙.๒๒ นาฬิกา ณ หอสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สิริรวมอายุได้ ๗๙ ปี พรรษา ๕๗

๏ อาจาริยธรรม

บันทึกส่วนตัวของพระครูสังวรศีลวัตร (หลวงปู่อุ่น ชาคโร)
เปิดเผยความลึกลับของท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ

เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงปู่อุ่นได้เข้ากราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น และได้กราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์และขอนิสัยจากท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้เมตตารับไว้อยู่ในสำนักและปฏิบัติธรรมในปีนั้น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ซึ่งท่านถือว่าเป็นบุญอย่างที่สุดที่ได้มาศึกษาปฏิบัติธรรมในสำนักของท่านพระอาจารย์มั่น จนทำให้ต้องยิ่งเพิ่มความตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐาก และตั้งใจจดจ่อฟังโอวาทจากท่านพระอาจารย์มั่น ตลอดจนศึกษาเรื่องภายในจิตที่เป็นไปต่างๆ นานาอีกด้วย

หลวงปู่อุ่นได้ร่วมพักจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ (วัดป่าภูริทัตตถิราวาส) ซึ่งนับเป็นพรรษาที่ ๖ ของท่าน และเป็นช่วงพรรษาสุดท้ายของท่านพระอาจารย์มั่น ก่อนที่จะละสังขาร เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ซึ่งในงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ในวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ จัดว่าเป็นงานถวายเพลิงศพพระกัมมัฏฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในยุคนั้น บรรดาพระเณร และญาติโยม พุทธบริษัทต่างก็หลั่งไหลมาจนเนืองแน่นวัดป่าสุทธาวาสและบริเวณโดยรอบ ซึ่งในงานนี้ท่านเป็นองค์หนึ่งที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้เฝ้าจิตกาธาน (เชิงตะกอน) ของท่านพระอาจารย์มั่นตลอดคืน กระทั่งจนถึงเวลาที่จะมีพิธีเก็บอัฐิธาตุในวันรุ่งขึ้น ซึ่งท่านมีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ได้ทำงานถวายพ่อแม่ครูบาอาจารย์จนถึงวาระสุดท้ายในครั้งนั้น

ในระหว่างที่หลวงปู่อุ่นได้อยู่ศึกษา และปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ นั้น ท่านเกิดความซาบซึ้งใจในธรรมคำสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดจนเหดุการณ์อันน่าอัศจรรย์ใจที่เกี่ยวข้องกับองค์ท่านพระอาจารย์มั่นอย่างยิ่ง เพื่อเป็นอาจาริยบูซา ท่านจึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกและข้อธรรมที่ท่านได้ประสบมาไว้ดังนี้

ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ รู้สึกว่าเสียใจมากที่ได้ไปอยู่ร่วมจำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่นเพียงปีเดียว ท่านก็มานิพพานจาก แต่ก็ภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้ไปฟังเทศน์อยู่ร่วมอุปัฏฐากท่านผู้มีจิตบริสุทธิ์อย่างนี้ นึกว่าไม่เสียทีประการหนึ่ง ครั้งสมัยนั้นเป็น พ.ศ. ๒๔๙๑ ข้าพเจ้าอยู่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ กับท่านอาจารย์เทสก์ เทสรํสี ท่านได้พูดว่า “พระเณรรูปใด จะไปฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่นก็ไปเสีย เดี๋ยวจะไม่เห็นท่าน เพราะท่านได้ทำนายชีวิตท่านไว้แล้วว่า อายุผมจะถึงแต่เพียง ๘๐ ปีเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้อายุท่านก็ ๗๙ จะเข้ามาแล้ว พวกคุณจะเสียดายเมื่อภายหลังว่าไม่ได้ฟังธรรมจากพระอรหันต์อย่างท่านอาจารย์”

ครั้งนั้น ก็ได้นมัสการลาท่านอาจารย์เทสก์ ท่านก็อนุญาตและส่งทางด้วย เมื่อเดินทางไปถึงวัดป่าบ้านหนองผือ ได้เข้าไปนมัสการท่าน และขอนิสัยขอมอบกายถวายตัวปวารณาต่อท่าน ท่านก็ยินยอมรับอยู่ในสำนักท่าน นึกว่าบุญเรามากเหนือหัว แต่นั้นก็ตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเรื่อยมา ตลอดศึกษาเรื่องภายในจิตที่เป็นไปต่างๆ นานา

:b42: (๑) ความลึกลับที่มีอยู่ภายในท่านก็ถูกเปิดเผยออกมา ที่จำได้คือ ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นว่า “กระผมขอโอกาสกราบเรียน การนิมิตเห็นดวงหฤทัย (หัวใจ) ของคน ตั้งปลายขึ้นข้างบนนั้นเป็นอะไร”

ท่านเลยอธิบายไปว่า “ที่จริงดวงหฤทัยของคนนั้นก็ตั้งอยู่ตามธรรมดานี้แหละ อันมันเป็นต่างๆ นานา ตามเรานิมิตเห็นนั้น มันเป็นนิมิต เทียบเคียง คือปฏิภาคนิมิตนั้นเอง ที่ท่านว่ามันตั้งชันขึ้นนั้น แสดงถึงจิตของคนนั้นมีกำลังทางสมาธิ ถ้าจิตตั้งขึ้นและปลายแหลม กกใหญ่คล้ายกับดอกบัวตูมกำลังจะเบ่งบานนั้น แสดงว่าจิตคนนั้นมีกำลังทางสมาธิและปัญญาแล้ว ถ้าน้ำเลี้ยงดวงหฤทัยมีสีต่างๆ กันนั้น หมายถึงจริตของคน เช่น โทสจริตนั้นหฤทัยแดง ถ้าราคจริตน้ำเลี้ยงหฤทัยแดงเข้มๆ ถ้าจิตของคนที่หลุดพ้นไปแล้วเป็นน้ำหฤทัยขาวสะอาดเลื่อมเป็นปภัสสรเหมือนทองปลอมแล้วอยู่ในเตา เลื่อมอย่างนั้นแหละ ถ้าดวงหฤทัยเหี่ยวๆ แห้งๆ นั้นหมายถึงจิตของคนนั้นไม่มีกำลังทางจิต คือ ศรัทธาพลัง วิริยพลัง สติพลัง สมาธิพลัง ปัญญาพลัง ถ้าธรรมทั้ง ๕ อย่างนี้ไม่มีในจิตแล้ว ท่านว่าอบรมไม่ขึ้น ไม่เป็นไป จะสั่งสอนทรมานสักปานใดไม่มีประโยชน์เลย ถ้าดวงหฤทัยของคนนั้นมีกกเบ่งบานเหมือนดอกบัว อบรมสั่งสอนไปได้ผลตามคาดหมายจริงๆ ท่านว่า “ผมเองเคยเพ่งดวงหฤทัยของผมเอง เห็นเลื่อมเป็นแสงเลยทีเดียว เพิ่งไปเพ่งมา ปรากฏแตกใส่ดวงตา” นี้คำพูดของท่าน

ท่านจึงอธิบายว่า “คนในประเทศไทยนี้ ดวงหฤทัยต่างหมู่อยู่ ๓ องค์ คือ ดวงหฤทัยปรากฏว่ามีจานหรือแท่นรองสวยงามดี พระ ๓ องค์นี้ องค์หนึ่งคือ ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ท่านตายไปแล้ว ส่วน ๒ องค์นั้น ยังอยู่” ท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า “บุญวาสนาบารมีพระ ๓ องค์นี้แปลกๆ” หมู่เพื่อนมากนี้นึกว่า ท่านอาจารย์นี้ท่านดูคนไม่ใช่ดูแต่หูชิ้นตาหนังเหมือนคนเรา ท่านสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา ต้องดูด้วยตานอกตาในเสียก่อน ไม่เหมือนปุถุชนเรา อย่างพวกเรานี้มาเอาแต่กิเลสมาสั่งสอน บังคับไม่ว่าใครเป็นอย่างใด ฉะนั้น จึงเกิดสงครามกันบ่อยๆ ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ จึงวุ่นวายกันอยู่ทั่วโลก ส่วนท่านพระอาจารย์มั่นนั้นท่านสั่งสอนไปมันก็ได้ผลจริงๆ อย่างว่า คนจิตไม่มีพลังธรรม ๕ ข้อ ก็คือคนอินทรีย์ไม่แก่กล้านั้นเอง อย่างนี้โดยมากท่านไม่รับเอาไว้ ในสำนักของท่าน ท่านใช้อุบายว่าควรไปอยู่แห่งนั้นแห่งนี้หรือกับคนโน้นคนนี้ดี

(๒) ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าตั้งใจปรึกษาท่านด้วยจิต คือ กุฏิของท่านอยู่ไม่ห่างไกลกับกุฏิ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เข้าสมาธิทำจิตให้สงบดิ่งลงถึงภูมิจิตที่เคยเป็นมา แล้วนึกถามท่านว่า “จิต ของข้าน้อยตั้งอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าน้อยขอกราบเรียนว่า จิตข้าน้อยตั้งอยู่อย่างไร ? และเรียกว่าจิตอะไร ? จึงขอนิมนต์ครูบาอาจารย์จงได้เมตตาบอกข้าน้อยด้วย” นึกแล้วก็พยายามรักษาจิต อย่างนั้นไว้จนกว่าท่านพระอาจารย์มั่นเลิกเดินจงกรม เมื่อท่านเลิกเดินจงกรมแล้วท่านก็ขึ้นไปกุฏิ และลูกศิษย์ผู้เคยปฏิบัติอุปัฏฐากท่านคือท่านอาจารย์วันก็ขึ้นไปนั่งอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้ขึ้นไป นมัสการท่านแล้วนั่งอยู่โดยไม่ได้พูดอะไรๆ กับท่านเลย

ท่านพูดเอ่ยมาว่า “จิตของท่านอุ่นเป็นอย่างนั้นๆ ตั้งอยู่อย่างนั้นๆ เรียกว่าจิตอันนั้นๆ ทีเดียว” ข้าพเจ้านั่งตัวแข็งเลย พูดอะไรๆ ไม่ออก ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ และทั้งกลัวท่าน ละอายท่าน ถ้าจะกราบเรียนท่านอย่างอื่นๆ ไป ก็กลัวท่านจะเล่นงานเอาอย่างหนัก แต่ทุกวันนี้คิดเสียดายเมื่อภายหลังว่า เรานี้มันโง่ถึงขนาดนี้ จริงๆ จะเรียนท่านว่าจิตเป็นอย่างนั้น แล้วข้าน้อยจะทำอย่างไรอีก จิตจึงเจริญหลุดพ้นไปได้ สมกับคำโบราณว่า อายครูบ่ฮู้ อายชู้บ่ดี คำนี้มันถูกเอาเสียจริงๆ

(๓) ครั้งสมัยท่านกำลังแสดงธรรม เรื่องความหลุดพ้นและอริยสัจจธรรม ๔ ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่ตรงหน้าตรงตาของท่าน ตั้งจิตสำรวม ส่งไปตามกระแสธรรมของท่านพร้อมทั้งกำหนดพิจารณาไปด้วย จิตข้าพเจ้าเลยรวมลงพับเดียว ปรากฏว่าดวงจิตของข้าพเจ้านี้คล้ายกันกับเครื่องนาฬิกากำลังเดินหมุนเวียนอยู่ พอนิมิตแล้วจิตก็ถอนออกมา พอดีถูกท่านเทศน์ขึ้นใหญ่เลยว่า “จิตพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น จิตท่านไม่หมุนเวียนอีก ไม่หันต่อไปอีก จึงได้นามว่า อะระหันต์ แปลว่า ไม่หัน ท่านเหล่านั้นจะเอา อะ ไปใส่แล้ว ไม่เหมือนเรา เรามีแต่หันอย่างเดียว ไม่หยุดไม่หย่อน พระอรหันต์นั้นท่านตัดกงหันได้แล้ว ท่านทำลายกงสังสารจักร (คือ สังสารวัฏฏ์ หมายถึง ภพที่เวียนเกิด เวียนตาย หรือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลก) ขาดไปแล้ว ด้วยอรหัตตมรรค”

ข้าพเจ้าผู้นั่งฟังอยู่ครั้งนั้นจึงเกิดความมหัศจรรย์อย่างใหญ่หลวง ท่านพระอาจารย์มั่นนั้นไม่แสดงธรรมด้วยหูหนังตาหนังเหมือนพวกเรา ท่านจก (ล้วง) เอาหัวใจผู้ฟัง มาแสดงจริงๆ ธรรมของท่านที่แสดงจึงถึงจิตถึงใจของผู้ฟัง อย่างพวกเราแสดงให้กันฟังอยู่ ทุกวันนี้มีแต่คนตาบอด ผู้แสดงก็บอด ผู้ฟังก็บอด บอดต่อบอดจูงกันไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน จะไปโดนเอาหลักเอาตอ ตกเหวตกขุมที่ไหนไม่ทราบกันเลย

ผู้เทศน์ก็มีกิเลส ผู้ฟังก็มีกิเลสกันทั้งนั้น ผู้เทศน์เล่าก็หวังเอาแต่กัณฑ์เทศน์ ไม่เทศน์เอาคน มันจึงไกลแสนไกล สมกับพระพุทธเจ้าว่า “ธรรมของสัตตบุรุษกับธรรมของอสัตตบรุษไกลกันเหมือนฟ้ากับแผ่นดิน คำหนึ่งว่า ดูกรอานนท์ ถ้าธรรมของเราตถาคตไปสิงในจิตของพระอรหันต์ผู้สิ้นจากกิเลสแล้ว ธรรมของเราก็เป็นธรรมแท้ไม่ปลอมแปลง ถ้าเมื่อใดธรรมของตถาคตนี้ไปสิงอยู่ในจิตปุถุชนผู้มีกิเลส ธรรมของเราก็กลายเป็นธรรมปฏิรูปคือ ธรรมปลอมแปลง” ถ้าผู้เขียนนี้เขียนไปมากๆ ก็เหมือนดูว่าเทศน์ไปอีกแหละ มันเป็นการเอามะพร้าวมาขายสวนไป จึงขอเขียนแต่เรื่องท่านพระอาจารย์มั่นต่อไป

(๔) วันหนึ่งตอนเช้า กำลังจะฉันจังหัน พระเณรกำลังแจกอาหารลงใส่ในบาตรกัน และพระผู้อุปัฏฐากท่านก็กำลังจัดอาหารหวานคาวลงใส่บาตรท่านพระอาจารย์มั่น ถ้าเป็นอาหารของแข็งหรือใหญ่ ต่างองค์ก็ต่างเอามีดหั่นหรือโขลกด้วยครก ต่างคนต่างกระทำด้วยเคารพจริง วันนั้นข้าพเจ้าได้มองไปเห็นพระท่านทำก็นึกเกิดปีติขึ้นมาด้วยความเลื่อมใส ปล่อยใจเลื่อนลอยไปว่า “แหม...พระลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์นี้ตั้งใจปฏิบัติอุปัฏฐากด้วยความเคารพ เลื่อมใสจริง เอ๊ะ...ครั้งพุทธกาลโน้น บรรดาพระสาวกทั้งหลายนั้นจะมีสานุศิษย์ปฏิบัติอุปัฏฐากดีๆ อย่างนี้ไหมหนอ”

คิดแล้วก็ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า เราเป็นบ้า คิดเรื่องราวให้ไปกระทบกระทั่งจิตใจของท่าน ครั้นต่อมาในวันหลัง บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายที่เคยปฏิบัติอุปัฏฐากท่านก็เข้าไปจะปฏิบัติ ถูกท่านห้ามอย่างใหญ่ว่า “หยุด...อย่ามาทำนะ” วันนั้นท่านดุเอาจริงๆ ครั้นต่อมา วันหลังอีก จะเข้าไปปฏิบัติ ท่านเล่นงานอย่างใหญ่อีกว่า “ทำไมห้ามไม่ฟัง เดี๋ยวถูกค้อนตีเอาแหละ” แล้วท่านก็บ่นว่า “มันมาดูถูกกัน การปฏิบัติอุปัฏฐากอย่างนี้ ครั้งพุทธกาลโน้น พระสาวกไม่มีดอก” วันนั้นไม่มีใครเข้าไปใกล้ท่านได้เลย การจัดสิ่งของลงในบาตรท่านจัดเอง การอุปัฏฐากท่านนั้นจำเป็นต้องงดไปหลายวัน

ต่อมา ท่านอาจารย์มหาบัว ท่านเป็นลูกศิษย์อาวุโสกว่าหมู่ พรรษาท่านขณะนั้นคงได้ใน ราว ๑๖ พรรษา จึงได้เรียกบรรดาสานุศิษย์รุ่นน้อย มี ท่านอาจารย์วัน ท่านอาจารย์เนตร อาจารย์คำพอง อาจารย์สุวัจน์ อาจารย์จันทร์โสม บ้านนาสีดา และข้าพเจ้า พร้อมอีกหลายๆ รูป ไปประชุมกันที่กุฏิท่านอาจารย์มหาบัวว่า “เรื่องนี้เป็นใครหนอ ได้นึกได้คิดอย่างว่านี้ เป็นเหตุให้ครูบาอาจารย์เดือดร้อน ตลอดถึงพวกเราเองก็เดือดร้อน ผมเองพิจารณาเห็นว่าคงจะ ไม่มีใครดอก เพราะว่าใครๆ ที่ได้มาอยู่ก็ตั้งใจมอบกายถวายชีวิตกับท่านแล้ว ต่างคนก็ต่างเคารพนับถือท่าน ผมว่าจะเป็นอุบายท่านอาจารย์ทรมานพวกเราเฉยๆ ดอก

ตามที่ผมได้อยู่กับท่านมาหลายปี ผมเองเคยถูกท่านทรมาน ดูว่าเรานี้จะปฏิบัติอุปัฏฐากท่านเอาจริงเอาจังไหม หรือว่าสักว่าแต่ทำเพื่อแก้เก้อเฉย แต่นี้ไปพวกเราต้องเข้าไปทำปฏิบัติท่านเลย ท่านจะฆ่าจะแกงจะต้มอย่างไรเรายอมเสียสละ นี้ท่านอาจารย์มหาบัวแนะนำสานุศิษย์รุ่นเล็กๆ ต่อมาก็เลยเข้าปฏิบัติอุปัฏฐากท่าน ครั้งนี้ท่านไม่ว่าอะไรเพราะจะห้ามไว้ก็ไม่ฟัง เป็นหน้าที่ข้อ วัตรของสานุศิษย์ผู้หวังดีจะทำกัน แต่นั้นมาก็ไม่มีใครปรารภเรื่องนี้อีก แม้แต่ท่านพระอาจารย์มั่นก็ไม่ว่าอะไร ตลอดถึงวันท่านนิพพานของยังปิดบังไว้

ครั้นต่อมาประมาณ ๒๐ กว่าปี ข้าพเจ้าจึงมาระลึกถึงบุญคุณของท่านพระอาจารย์มั่นดู จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่ออยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นถูกท่านเทศน์กัณฑ์ใหญ่ สมัยนั้นก็เอาผู้ไม่มีสติ นี้แหละ เป็นต้นเหตุทำให้หมู่เพื่อนครูบาอาจารย์องค์อื่นเดือดร้อนไปตามกัน เมื่อมานึกทวนจิตรู้ได้ มันก็สายเสียแล้ว จะทำอย่างไรดี จะไปขอขมาโทษคารวะท่าน ท่านก็ไม่อยู่ในโลกไหนภพไหน จึงนึกคิดขึ้นมาได้ว่า เหลืออยู่แต่โอวาทคำสอนของท่านนี้แหละให้เรา เราต้องขอขมาโทษ เคารพนับถือธรรมของท่านที่ให้นี่แหละ นึกขึ้นได้แล้วก็เบาใจต่อมา

นี้แหละท่านผู้อ่านทั้งหลาย คนเรานี้แม้แต่จิตของตัวเองนี้ นึกคิดไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าขณะนี้เราคิดเรื่องอะไร มันจะไปรู้จิตของคนอื่นนึกคิดได้อย่างไร ทั้งวันทั้งคืนทั้งปีทั้งเดือนผ่านไปผ่านไป หมดไปเฉยๆ ไม่ได้ทบทวนตรวจตราดูกายดูจิตของตนเลย อย่างท่านพระอาจารย์มั่นนั้น ท่านเคยพูดให้ได้ยินบ่อยว่า “ผมเองพิจารณาเห็นจิตเห็นกายอยู่ทุกๆ เวลา เช่น เห็นกายเป็นร่างกระดูกอย่างนั้นแหละ เอาผ้ามาห่มมาคลุมก็เห็นเอาผ้ามาคลุมร่างกระดูกอยู่อย่างนั้น” ท่านอ่านเรื่องนี้แล้วจงระวังอย่าให้เป็นดังจิตของข้าพเจ้าผู้เขียนนี้เลย เรื่องนี้ข้าพเจ้าผู้ถูกมาเอง จึงอดปิดบังไว้ไม่ได้ เป็นของอัศจรรย์ข้อหนึ่งที่เคยประสบเหตุการณ์มากับท่านพระอาจารย์มั่นจริงๆ

(๕) วันหนึ่งตอนบ่าย ท่านพระอาจารย์มั่นจะสรงน้ำ ตามธรรมดาเวลาสรงน้ำมีพระปฏิบัติ ท่านพระอาจารย์ในราว ๓ รูป ไม่ขาด ครั้งนั้นมีพระรูปหนึ่งท่านองค์คนชอบหัวดื้อหน่อย และ ชอบทดลองสิ่งต่างๆ ด้วย พระองค์นั้นจึงคิดทดลองดูว่าท่านพระอาจารย์มั่นนี้จะรู้ไหม จึงคิดในขณะไปสีขาให้ท่านว่า “กกขา (ต้นขา) นี้ขาวเหมือนขาผู้หญิงเลย” พอนึกเท่านั้น ท่านพระอาจารย์มั่นจึงพูดขึ้นว่า “เอ๊ะ ท่านนี้เป็นบ้าจริงๆ เว้ย” แล้วพระองค์นั้นก็ถอยออก จึงมานึกว่า เอ๊ะ...ท่านพระอาจารย์จะรู้จริงๆ หรืออย่างไรหนอ แกยังสงสัยอยู่ พอวันหลังก็มาปฏิบัติเวลาท่านอาบน้ำอีก พอสีเหงื่อไคลขาท่านก็ลองนึกดูอีก ครั้งนี้ท่านดุเอาอย่างใหญ่เลยว่า ท่านนี้ออกหนี อย่ามาทำเลย ไปหนีๆ ไล่ใหญ่ อันนี้ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ได้ไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์ในเวลานั้นเหมือนกัน อันนี้นึกว่าท่านพระอาจารย์มั่นนั้นท่านชำนาญทางปรจิตวิชาจริงๆ จึงหาได้ยากอีกในโลกนี้

(๖) สมัยหนึ่งเป็นเวลาออกพรรษาแล้ว นายวันและแม่ทองสุข ร้านศิริผล นครราชสีมา ได้มาถวายกฐิน ครั้งนั้นมีครูบาอาจารย์ ผู้หลักผู้ใหญ่ นายวันนิมนต์มาด้วยมากองค์ เช่น ท่านอาจารย์สิงห์ อาจารย์ฝั้น อาจารย์สีโห วัดป่าสุมนามัย บ้านไผ่ ท่านอาจารย์องค์นี้ไม่เคยมา และไม่เคยเห็นท่านพระอาจารย์มั่นเลย ได้ไปพักอยู่กุฏิเล็กๆ ห่างจากกุฏิท่านพระอาจารย์มั่น ประมาณ ๔ เส้น ขณะท่านอาจารย์สีโห อาบน้ำ ข้าพเจ้าและพระอื่นๆ มาปฏิบัติท่าน ขณะนั้นท่านอาจารย์สีโหจึงพูดกับข้าพเจ้าขึ้นเบาๆ ว่า “เอ๊ะ...ท่านพระอาจารย์มั่นนี้รูปร่างหน้าตาเหมือน ผมนิมิตเห็นท่านไม่ผิดเลย ว่าลักษณะท่านคนน้อยๆ คางแบนๆ บัดนี้เราจะได้ฟังเทศน์ท่าน เรานี้อยากให้เทศน์จริงๆ ว่าเรานี้มันคาอยู่อะไร ทำไมจึงไม่เห็นตนคา” ว่าแล้วก็ผลัดเปลี่ยนผ้า ข้าพเจ้าก็เลยไปกุฏิ

พอตอนค่ำ ครูบาอาจารย์ต่างก็ไปชุมนุมที่กุฏิท่านพระอาจารย์มั่น ท่านอาจารย์สีโหก็อยู่นั้นแหละ ท่านพระอาจารย์มั่นก็ทักทายปราศรัยกับท่านอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ไป พอท่านมองไปเห็นท่านอาจารย์สีโหนั่งอยู่ ท่านเลยพูดเอ่ยขึ้นว่า “ท่านสีโหนี้ก็มีแต่ไปหากินข้าวต้มขนมเข้าอยู่แต่ในเมืองในนา ทำไมไม่เห็นเข้าป่าไปภาวนาเล่า” ว่าแล้วท่านหัวเราะ ใครก็หัวเราะกัน เพราะเป็นเรื่องขบขัน ผู้ฟังเพลินดูคล้ายกับว่าท่านพูดเล่น แต่ที่จริงท่านพูดตามเหตุที่ท่านรู้ทางจิต

(๗) ครั้นต่อมาอีก ตอนเช้าเวลาฉันจึงหัน ครั้งนั้นครูบาอาจารย์ที่เป็นพระแขกติดตามมา กับองค์กฐินนายวัน แม่ทองสุข เช่น อาจารย์สิงห์ อาจารย์สีโห อาจารย์อ่อน อาจารย์ฝั้น และพระอื่นๆ อีกมาก ได้ไปรวมกันฉันที่ศาลาหลังใหญ่เพราะที่หอฉันที่ไม่เพียงพอกัน จึงฉันอยู่ที่หอฉัน ก็มีแต่พระเณรเจ้าถิ่นเท่านั้น ครั้งนั้น บรรดาอาหารหวานคาว พวกโยมทั้งหลายเลยเอาขึ้นไปแต่หอฉันที่ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ ไม่มีใครแบ่งไปที่ศาลาใหม่เลย พระผู้แจกอาหาร เช่น อาจารย์วัน อาจารย์ทองคำ และข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ด้วย ก็บังเอิญลืมแบ่งไปจริงๆ พอฉันเสร็จแล้วไม่มีใครว่าอะไรอีก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ฉันอยู่ศาลาหลังใหญ่ก็ฉันแต่อาหารที่ได้มาในบาตร ไม่มีใครพูดอะไร เพราะกลัวความกระทบกระเทือนจะไปถึงท่านพระอาจารย์ใหญ่

พอตื่นเช้าวันหลังเท่านั้นแหละ ท่านพระอาจารย์มั่นเลยว่ากับโยมชาวบ้านหนองผือเลยว่า “พวกโยมทำอาหารมาให้พระฉันกันอย่างไร ? อาตมาได้ยินว่าท่านอาจารย์สิงห์บ่นว่า อาหารจาง อาหารจาง อยู่” พระพวกภัตตุทเทศก์ที่แจกอาหารเลยสืบถามดูความจริงแล้ว ลืมแบ่งอาหาร ไปศาลาหลังใหญ่ ปล่อยให้ครูบาอาจารย์ฉันแต่ข้าวที่ไม่มีอะไรๆ กันทั้งนั้น จึงเป็นเหตุให้ท่านพระอาจารย์มั่นรู้เรื่องราวโดยไม่มีใครบอกท่าน อันนี้เป็นของอัศจรรย์ข้อหนึ่งตามข้าพเจ้าเคยผ่านเหตุการณ์มาในเรื่องท่านพระอาจารย์มั่น

(๘) เรื่องอดีตชาติก่อน

ท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า สมัยพระโสณะกับพระอุตตระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภูมิ คือนครปฐมเดี๋ยวนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นนี้ได้เป็นสามเณรน้อยมาด้วย ท่านว่า สมัยนั้นท่านข้องคาที่อยู่ในการปรารถนาพุทธภูมิ ท่านจึงไม่ได้สำเร็จมรรคผลอะไร ท่านกล่าวว่า สมัยนั้นน้ำทะเลขึ้นไปจรดกับจังหวัดสระบุรี หรือเขาวงพระจันทร์ ส่วนพระโสณะและพระอุตตระ นั้นชอบใช้ไม้เท้าทางกกเป็น ๘ เหลี่ยม ทางปลายนั้นเป็น ๑๖ เหลี่ยม ท่านว่า “เมืองไทยเรานี้ มีคนที่มีบุญวาสนามากมาเกิดบ่อยๆ และเป็นที่ชุมนุมของเทวดามเหศักดิ์ ผู้มีฤทธิ์มาก ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระบรมสารีริกธาตุก็เสด็จมาอยู่ในเมืองไทย ประเทศอินเดียไม่ค่อยมี เพราะเมืองไทยเรามีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองกว่าประเทศอื่น ฉะนั้น เมืองไทยเราจึงเป็นเมืองแสนสงบสุข อุดมสมบูรณ์ เป็นเอกราชมานาน เพราะเป็นดินแดนที่เกิดของนักปราชญ์ทั้งหลาย”

พูดถึงตอนนี้เป็นเหตุให้เราคนไทยที่เป็นเจ้าของประเทศภาคภูมิใจมาก และ ภาคภูมิใจที่ได้มาเกิดในเมืองไทยที่มีครูบาอาจารย์ผู้วิเศษมาโปรด นี้ได้ยินจาก ท่านพระครูสีลขันธ์สังวร (อาจารย์อ่อนสี สุเมโธ) วัดพระงาม ท่าบ่อ พูดให้ฟัง เพราะอาจารย์องค์นี้ท่านได้อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ตั้ง ๖ ปี ท่านรู้ดีเรื่องท่านพระอาจารย์มั่น ใครสนใจไปเรียนถามท่านก็ได้

(๙) เรื่องเข้าสมาธิเวทยิตนิโรธสมาบัติ

ท่านอาจารย์อ่อนศรี วัดพระงาม เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เรื่องเข้าเวทยิตนิโรธนี้ เคยมีครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่กราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่น ท่านตอบว่า “พระอรหันต์จำพวกได้อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ จิตถึงจตุตถฌานแล้วจึงเข้าได้ อย่างพระมหาสารีบุตร พระมหากัสสปะ ท่านเข้าได้ถึง ๗-๘ วัน จำพวกพระอรหันต์ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช อันนี้เข้าไม่ได้” ท่านพระอาจารย์มั่นพูดว่า “เอาน่า เชื่ออ้ายเฒ่าเถอะน่า” และท่านเคยเตือนลูกศิษย์ว่า “อย่าไปคิดมันเลยเรื่องนี้ กว่าแต่สิ้นกิเลสตัณหาก็เป็นพอ พวกเรานี้มันหมดยุคผู้มีบุญวาสนามากแล้ว วาสนาของสัตว์โลกนับวันแต่จะด้อยลงไปทุกที ยิ่งเลย ๒๕๐๐ ปีไปแล้ว คนที่จะได้สำเร็จมรรคผลเพียงแค่แต่พระโสดาบันนี้ก็ยาก” ท่านว่าดังนั้น “อย่าอยากดีอยากดังเกินไป มันจะไม่พ้นทุกข์” นี้ท่านเตือนสานุศิษย์

อย่างท่านอาจารย์ลี วัดอโศการาม ก็เคยพูดบ่อยๆ ว่า “เลย ๒๕๐๐ ไปแล้ว คนจะทำความดีได้ยาก มีแต่คนชั่วเอาความชั่วมาทับถมกัน” จริงอยู่ คำนี้สมัยทุกวันนี้พระท่านถือธุดงค์ไปเจริญสมณธรรมอยู่ป่าอยู่เขาไกลแสนไกล สูงแสนสูงเท่าใด คนยังไปรบกวนถามบัตรถามเบอร์ท่าน ไม่ถามเรื่องบุญเหมือนสมัยท่านพระอาจารย์มั่นยังมีชีวิตอยู่ ถามกันแต่เรื่องเบอร์ทั้งนั้น พระสมัยทุกวันนี้ก็แสวงหาแต่อย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ใครก็หาแต่มนุษยสมบัติ ไม่หานิพพานสมบัติ พระท่านผู้หวังจะข้ามจากโลก ก็พลอยลำบากไปด้วย เพราะโลกเขาไม่อยากให้ข้ามไปเลย

ข้าพเจ้าได้ค้นดูหนังสือโบราณ คือ หนังสืออุรังคธาตุ ตอนหนึ่งว่าพระมหากัสสปเถระเจ้า ได้สร้างพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม ทางฝ่ายฆราวาส มีพระยาคำแดง พระยาเมืองอินทปัตถานคร พระยานันทเสน พระยาปิงคราช พระยาสมิตถานคร โปรดให้เขียนรูปม้าอัสดรใส่พระธาตุ โดยผินหน้าไปทางทิศเหนือแม่น้ำโขง ผินหางไปทางทิศใต้แม่น้ำโขง แล้วพระมหากัสสปเถระเจ้าจึงทำนายพยากรณ์ไว้ว่า ต่อไปครั้งหน้า ศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อภายสร้อย ศาสนาแถบสายแม่น้ำโขงนี้จะเจริญรุ่งเรือง จะมีพระอรหันต์เกิดขึ้นแถบสายแม่น้ำโขงนี้ อันนี้ข้าพเจ้าบอกตรงๆ เลยว่า มันต้องเป็นสมัย ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์เสาร์ นี้ไม่มีผิดจริงๆ เพราะทั้งสองพระองค์ท่านนี้ก็เป็นคนชาวเมืองอุบลราชธานี ซึ่งมีเขตจรดกับแม่น้ำโขง และเวลาท่าน ๒ องค์นี้เที่ยวเทศนาโปรดประชาชน ก็เที่ยวโปรดตามสายแม่น้ำโขง นี้เป็นคำสันนิษฐานของข้าพเจ้า จะผิดหรือถูกประการใดขอพิจารณาดูเถิด และให้อภัยแก่ข้าพเจ้าผู้เขียนด้วยเถิด

อีกตอนหนึ่ง ในหนังสือพุทธทำนายว่า ใกล้ศาสนา ๒๕๐๐ ปี จะมีผู้มีบุญวาสนามาเกิด มีพระยาธรรมิกราชมาปกครองบ้านเมือง ฝ่ายพระศาสนาจะมีพระอรหันต์มาเทศน์โปรด บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวร พระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเจริญ เรื่องทางด้านปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม เรื่องนี้ได้มีครูบาอาจารย์บางรูปได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดว่า “มันเจริญมาแล้วแต่พระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๔ ท่านก็เป็นจอมปราชญ์ปกครองบ้านเมือง ได้ปรับปรุงทางคณะสงฆ์และได้ปรับปรุงบ้านเมืองให้เจริญจนมาถึงรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองได้เจริญถึงขีด” ท่านว่าดังนั้น

“ส่วนฝ่ายพระศาสนาก็มี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระองค์ท่านก็ได้ปรับปรุงด้านการศึกษาปริยัติธรรมนี้ขึ้นมาจนถึงสมัยทุกวันนี้ ด้านปฏิบัติปฏิเวธธรรมอันนี้มันเจริญอยู่กับผู้ปฏิบัติ ผู้ไม่ปฏิบัติก็ไม่เห็นความเจริญ มันไม่ใช่ทั่วไป ผู้ใดปฏิบัติเห็นมรรคผลนิพพาน ก็ว่ามรรคผลนิพพานยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ไปไหน พระพุทธเจ้าปรินิพพานไป ท่านไม่ได้เอามรรคผลนิพพานไปด้วย คงอยู่ตามเดิม (เอส ธมฺโม สนนฺตโน) พระธรรมเป็นของมีมาแต่ดั้งเดิมไม่ไปไหน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วว่า ดูกรอานนท์ เมื่อใดภิกษุในพระศาสนานี้ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ พระอรหันต์จะไม่ว่างจากโลก” อันนี้คำพูดของท่านผู้เห็นธรรมแล้วหลุดพ้นแล้วพูด

ทีนี้เราผู้มืดมนและข้องคาอยู่ มาพูดกันตามความเห็นแล้วว่า พระผู้วิเศษคือพระอรหันต์ จะมาเที่ยวเทศนาโปรดประชาชนนั้น ข้าพเจ้าว่าไม่ใช่อื่นไกล คือ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ซึ่งเป็นนักเทศน์เอกในประเทศไทย และท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านพระอาจารย์มั่น นี้แหละ ไม่ใช่ว่าท่านจะเหาะมาทางอากาศมาประกาศว่า ข้าพเจ้านี้คือพระอรหันต์จะมาโปรดท่านเน้อ อย่างพวกเรานึกคิดกัน ท่านได้สำเร็จแล้วก็แล้วไป หลุดพ้นแล้วก็แล้วไป ไม่ใช่ว่าจะหามแข่งหามเสง เหมือนกลองยาว เคยมีพระบางพวกหามไปเข้าสมาธิให้คนดู อันอย่างนั้นมันไม่มีในพระสาวกเสียแล้ว และพระพุทธเจ้าก็ไม่ปรากฏว่าพระองค์เข้านิโรธสมาบัติแล้วให้สาวกหามไปให้คนดูว่า มาเนื่องมาดูเราเข้านิโรธ อย่างนี้ไม่มี พระวินัยก็ปรับอาบัติไว้แล้วว่า ภิกษุใดบอกอุตตริมนุสสธรรมแก่ชาวโลก เขาปรับอาบัติปาจิตตีย์

ดังนี้ ท่านผู้มีจิตหลุดพ้นไปแล้วท่านไม่โอ้อวด ไม่อยากดังเหมือนพวกเราที่มีกิเลสอยู่ดอก ถึงบอกไปคนอื่นเขาจะเชื่ออย่างไร เขาไม่เห็นด้วย มีแต่เขา จะว่าท่านนี้บ้าแล้วกระมัง ฉะนั้น การบอกเปิดเผยธรรมวิเศษที่มีในตนนี้ นอกจากเป็นอาบัติแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ ผลได้น้อยกว่าผลเสีย จะประสาอะไรแต่สาวกของพระพุทธเจ้า แม้แต่พระองค์เองได้ประกาศว่า เราเป็นสยุมภูผู้ตรัสรู้เอง คนอื่นก็ยังเชื่อยาก ทั้งตำราพวกพราหมณ์ก็ทำนายกัน ทั้งประเทศอินเดียว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลก เมื่อพระองค์เที่ยวประกาศพระศาสนา คนบางจำพวกก็ยังไม่เชื่อพระองค์ จนได้แข่งฤทธิ์แข่งเดชกับพระองค์ จะเอาอย่างไรกับพวกมนุษย์ผู้มืดหนา ฉะนั้น เรื่องท่านพระอาจารย์มั่นนี้ก็เหมือนกัน ต้องถูกปิดบังไว้ตั้ง ๒๐ กว่าปีจึงมีวี่แววขึ้นเดี๋ยวนี้เอง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=38864

ความคิดเห็น

เนื้อหาที่ได้รับความนิยมในรอบ 1 เดือน :

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดถ้ำภูกำพร้า (วัดภูกำพร้า) จังหวัดมุกดาหาร

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำน้อย จิตฺตคุตฺโต วัดภูกำพร้า อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เกิด ไม่ทราบ มรณภาพ พ.ศ.2548 อายุ ไม่ทราบ (ว่ากันว่า 200 กว่าปี) พรรษา ไม่ทราบ สำหรับหลวงปู่คำน้อย ว่ากันว่าท่านมีถึงอายุ 238 ปี ท่านพำนักอยู่ วัดถ้ำภูกำพร้า อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ตั้งแต่ท่าน อายุได้ 100 กว่าปี ท่านก็สามารถนั่งสมาธิถอดจิต ไปเที่ยว สวรรค์ - นรก และ บางคนเชื่อว่าท่านคือเณรคำผู้มีฤทธิ์จากภูเขาควายเมืองลาว ท่านเป็นพระใจดี สำหรับอายุของท่านเท่าที่ถามจากคนเฒ่าคนแก่ในละแวกนั้น เขาก็ว่าเกิดมาก็เห็นหลวงปู่แล้วจนเขามีอายุถึงแปดสิบเก้าสิบ หลวงปู่คำน้อยก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และเมื่อสอบถามจากหลวงปู่คำน้อยก็ได้คำตอบเหมือนที่ใครๆได้รับรู้จากวาจา ท่านเองคือเปลี่ยนฟันมาสองรอบแล้ว รอบละ 120 ปี เลยอนุมานเอาว่าช่วงนั้นหลวงปู่น่าจะอายุประมาณ 200 กว่า ปี อายุใกล้เคียงกับกรุงเทพมหานคร ก็เลยสันนิษฐานเอาว่าหลวงปู่น่าจะเกิดในสมัยรัชกาลที่ 1 ครับ ปัจจุบันท่านมรณภาพไปแล้วครับ ประมาณปี 2548

ประวัติ หลวงปู่ทอง อายะนะ วัดราชโยธา

หลวงปู่ทอง อายะนะ (พ.ศ. 2363 - พ.ศ. 2480) เป็นพระคณาจารย์ยุคเก่าที่มีอายุยืนยาวถึง 117 ปี ท่านเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติอันงดงาม เชี่ยวชาญด้านพุทธาคมอย่างลึกซึ้ง เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้กับ หลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว ส่วนลูกศิษย์ฆราวาสที่เคราพเลื่อมใสท่านมากก็คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) นายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของประเทศไทย ด้านวัตถุมงคลของท่านมีทั้งพระเครื่องเนื้อพิมพ์สมเด็จ ลูกอม ชานหมาก เสื้อยันต์ แต่ที่ได้รับความนิยมสูงสุดก็คือ เหรียญรุ่นแรก ประวัติหลวงปู่ทอง อายะนะ หลวงปู่ทอง อายานะ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2363 ตรงกับปลายสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นบุตรของนายฮวด แซ่ลิ้ม ชาวจีนฮกเกี้ยน มารดาเป็นชาวมอญ ต่อมาท่านได้อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2384 ได้อุปสมบท ณ วัดบางเงินพรม ตลิ่งชัน โดยมีท่านเจ้าคุณวินัยกิจจารีเถระ (ภู่) อดีตเจ้าอาวาสองค์ที่ 2 ของ วัดบางเงินพรม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาตามภาษามคธว่า อายะนะ หลังจากอุปสมบทมา ได้พำนักจำพรรษา ณ วัดแห่งนั้นเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย และคอยอุปัฏฐากพระอุปัชฌาย์ของท่านภายหลังได้ธุดงค์วัตรเพื่อแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระราชโยธาก่อสร้างวัดราชโยธาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้น...

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง

ประวัติหลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ หรือ หลวงพ่อกุหลาบ วัดบางเป้ง พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ (หลวงพ่อกุหลาบ พุทฺธโชติ) หรือ หลวงพ่อหลาบ วัดบางเป้ง อดีตเจ้าอาวาสวัดบางเป้ง และอดีตเจ้าคณะอำเภอศรีราชา ท่านเป็นเกจิดังของตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ท่านพัฒนาวัดบางเป้งจนมีความรุ่งเรือง ท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูง ใครมาขอความช่วยเหลือจากท่านท่านก็ช่วยเหลือมิไม่ได้ขาด ท่านเป็นพระเกจิที่ชาวบางแสนให้ความเคารพอย่างมาก และท่านยังให้ความสำคัญของการศึกษาท่านได้สร้างโรงเรียนวัดบางเป้ง (กุหลาบราษฎร์อำนวยวิทย์) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นต้น ประวัติและสถานะเดิม พระครูพรหมจริยาธิมุตต์ ท่านมีนามเดิมว่า " กุหลาบ " นามสกุล " อุ่นจิตร หรือ อุ่นจิตต์ (ไม่แน่ใจว่าเขียนแบบไหนครับ) " เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2431 บิดาชื่อ นายช้อน มารดาชื่อ นางเจียก อุ่นจิตร ท่านเกิด ณ หมู่ที่ 1 บ้านตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี (บริเวณสถานีดับเพลิง ต.แสนสุข) ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน หลวงพ่อกุหลาบเป็นบุตรคนสุดท้อง ดังนี้ พระอธิการอั...

ประวัติ หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก วัดห้วยใหญ่

พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก) พระครูภัทรกิจวิบูล (หลวงพ่อก้าน ภทฺทโก) หรือ อาจารย์ก้าน หรือ หลวงพ่อก้าน วัดห้วยใหญ่ อดีตเจ้าอาวาสวัดห้วยใหญ่ เกจิดังของตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี สังขารท่านไม่เน่าเปลื่อยอยู่ในโรงแก้วจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อก้านท่านพัฒนาวัดห้วยใหญ่จนรุ่นเรือง และช่วยสร้างอื่นๆ เช่นวัดนาจอมเทียน , วัดทุ่งระหาร และวัดชากแง้ว ท่านเป็นผู้ริเริ่มสร้างถนนนาจอมเทียนไปถึงถนนบ้านบึงเป็นระยะทาง 8 กิโลเมตร ท่านเป็นพระนักปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และพระนักพัฒนาที่น่ายกยอง ประวัติ หลวงพ่อก้าน มีเดิมว่า " ก้าน " นามสกุล " เจริญคลัง " ท่านเป็นคนจังหวัดชลบุรี เกิดที่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ ปีมะแม โยมบิดาชื่อ เส็ง เกิดที่เมืองจีน โยมแม่ชื่อ นิด นามสกุล เจริญคลัง ครอบครัวมีอาชีพทำนา ชีวิตในวัยเยาว์นั้นท่านเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ชอบไปใส่บาตรพระกับผู้ใหญ่เสมอๆ บรรพชา เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดห้วยใหญ่ ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จั...

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ หรือ พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต วัดเวฬุวัน

ประวัติหลวงปู่อุดมทรัพย์ (พระอาจารย์จ่อย สิริคุตโต) วัดเวฬุวัน ตำบลพยุห์ อำเภอพยุห์ จังหวัดศรีสะเกษ ชาติภูมิและอุปสมบท ณ บ้านหนองหล่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ในวันศุกร์ที่  ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๓ ในครอบครัวของพ่อลี แม่ตุ่น สว่างกุล ได้ก่อกำเนิดลูกชายคนที่ ๘ จากจำนวนทั้งหมด ๙ คน เด็กคนนี้มีรูปร่างเล็กกว่าลูกคนอื่นๆ พ่อจึงได้ตั้งชื่อว่า "จ่อย" ซึ่งเป็นภาษาอีสานหมายถึงผอมแห้ง เด็กชายจ่อยได้เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวด้วยการช่วยทำงานทุกอย่างเหมือนดั่งเด็กโต ในยามว่างสิ่งหนึ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันของเด็กชายจ่อยคือ ชอบไปนั่งคุยกับพระที่วัดถามถึงเรื่องบาปบุญว่ามีจริงไหม บาปอยู่ที่ไหน บุญอยู่ที่ใด เป็นคำถามที่พระในวัดมักจะถูกถามอยู่เสมอๆ ซึ่งพระในวัดท่านก็ตอบว่า "ถ้าอยากรู้ว่าบาปบุญมีจริงไหม ก็ลองมาบวชดูแล้วจะรู้" คำตอบที่พระท่านตอบมาทำให้ในวันนั้นเด็กชายจ่อยฝังใจในการหาคำตอบ พอเริ่มโตเป็นวัยรุ่น จึงได้ไปขออนุญาตพ่อแม่ว่า "บัดนี้ครอบครัวก็เป็นปึกแผ่นแล้ว อยากจะออกบวชเรียน เพื่อศึกษาหาคำตอบที่สงสัยมานาน" เมื่อพ่อแม่ได้ฟังดังนั้นก็ยินดีอนุโมทนาอนุญาตให้บวชเป็นสามเณ...

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง

ประวัติหลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร (พระครูธรรมสรคุณ) วัดกระทิง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเขียน ขนฺธสโร  พระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งแห่ง จันทบุรี อดีตเจ้าอาวาสวัดกระทิงท่านเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์และมีอิทธิปาฏิหาริย์ มีวิชาอาคมอันแก่กล้า  โดยเฉพาะ ท่านสามารถใช้เวทมนตร์ สะกดพวกสัตว์ป่า ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน ในตอนที่ เขาคิชฌกูฎ ได้เปิดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะพระพุทธรูป ไหว้พระ และมากราบนมัสการท่าน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ บ้านกะทิง ต.พลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ (ขณะนั้นเป็นอำเภอมะขาม) จ.จันทบุรี เป็นบุตรของนายอยู่ และ นางมุ้ง ทองคำ ในครอบครัวของท่านประกอบอาชีพพวกเกษตรกรรม และการหาของป่าสมุนไพร ดังนั้น ท่านจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาพืชสมุนไพรและของป่าบนเขาคิชฌกูฏ จนมีความชำนาญ ในช่วงวัยเรียน ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนวัดกะทิง ต.พลวง กิ่ง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี จนกระทั่งพอท่านมีอายุครบบวช ท่านจึงได้อุปสมบทเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 โดยมีพระครูนิเทศคณานุสิฏฐ์ วัดหนองอ้อ ต.มะขาม อ.มะขาม ...

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ชาลี ถิรธัมโม วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

ประวัติและปฏิปทา พระครูจิตตภาวนาญาณ (หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม) วัดป่าภูก้อน ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี “พระครูจิตตภาวนาญาณ” หรือ “หลวงตาชาลี ถิรธมฺโม” มีนามเดิมว่า ชาลี นามสกุล บุตรน้อย เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๘ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีระกา ณ บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โยมบิดาชื่อ นายคำ บุตรน้อย โยมมารดาชื่อ นางกัน บุตรน้อย มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดศิริราษฎร์วัฒนา บ้านเจริญศิลป์ ตำบลเจริญศิลป์ อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร โดยมี พระครูอดุลสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดศิริราษฎร์วัฒนา จังหวัดสกลนคร โดยมี พระอาจารย์คำมี สุวัณณสิริ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดศิริราษฎร์วัฒนา จ.สกลนคร ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ไปจังหวัดเลย ได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ๑ พรรษา แล้วเดินธุดงค์ต่อไปทางภาคเหนือ, จังหวัดหนองคาย, จังหวัดอุดรธานี แล...

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน

ประวัติหลวงปู่เขียว อินฺทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน หลวงปู่เขียว อินทมุนี หรือ พ่อท่านเขียว วัดหรงบน เป็นพระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดหรงบน ก่อนที่ท่านจะมรณภาพนั้นก็สามารถบอกถึงกำหนดวันมรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ นอกจากสังขารท่านจะไม่เน่าเปื่อยแล้วยังเผาไหม้ได้อีกด้วย พระเครื่องและวัตถุมงคลของท่านได้รับความนิยมสูงมาก เช่น เหรียญรูปเหมือน รูปหล่อลอยองค์ ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาดเอว ลูกอม ตะกรุด และพระปิตตา ฯลฯ ประวัติ หลวงปู่เขียว อินทมุนี ท่านเกิดเมื่อปี พุทธศักราช 2424 ในแผ่นดิน ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เมื่อยังเยาว์วัย พ่อท่านเขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ รวมทั้งการศึกษาวิชาอาคมตามประเพณีนิยมของชาติไทยสมัยก่อน จนเมื่อมีอายุได้ 22 ปี ท่านจึงได้ตัดสินใจสละเพศฆราวาส อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2446 ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ. 2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี" หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านก็อยู่รับใช้ป...

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี (หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง)

พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงาท่านเกิดในพุทธศักราช 2370 (ปีกุน) ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไชยธารารามหรือวัดฉลอง และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างมากของชาวจังหวัดภูเก็ต ท่านได้มรณภาพ เมื่อ พ.ศ. 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประวัติพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อจากพ่อท่านเฒ่า ท่านได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจาริย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ไม่ปรากฏนามโยมบิดามารดา โดยโยมบิดามารดาได้ให้ท่านอยู่ ณ วัดฉลอง โดยเป็นศิษย์ของท่านพ่อเฒ่าเมื่อครั้งเยาว์วัยจนได้บวชสามเณร และได้บรรพชาเป็นพระภิกษุจำพรรษาที่วัดฉลอง (ในปี พ.ศ. 2420 ได้รับพระราชนามเป็น วัดไชยธาราราม) ตำบลฉลอง อำเภอเมือง (เดิม ทุ่งคา) จังหวัดภูเก็ต หลวงพ่อแช่มชำนาญด้านสายวิปัสนาธุระได้รับการศึกษาด้านนี้จากพ่อท่านเฒ่าจนมีความเชี่ยวชาญ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว จังหวัดพิษณุโลก

ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่พักสงฆ์ย่านยาว อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก หลวงปู่ทองคำ สุวโจ เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2472 เป็นบุตร นายนวล กันสีชา และ นาง บุญ กันสีชา มีพี่น้องร่วมท้อง 4 คนโดยหลวงปู่เป็นบุตรคนโต เมื่ออายุ ได้ 14 ปี หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร วัดบ้านบ้านคำครั่ง อ.กระนวน จ. ขอนแก่น หลังจาที่ได้บรรพชาเป็นสามเณรแล้วสนใจในการศึกษาเล่าเรียน จึงได้ออกเดินทางไปยังสำนักของพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และได้ศึกษาตำรามูลกระจายสูตร และพระคาถาต่างๆ จากพระอาจารย์ฝั้น เป็นเวลาถึง 9 ปี จากนั้นหลวงปู่จึงได้ลาสิกขา ถึงแม้จะเป็นฆราวาส หลวงปู่ทองคำก็ยังมิขาดที่จะศึกษาพระเวทย์ โดยข้ามฝั่งเดินทางไปศึกษาไปยังประเทศลาว ที่วัดพระบาทโพนสัน จาก พระครูขี้หอม หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ข้ามกลับมาฝั่งไทย และอุปสมบทที่วัดราชพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมี พระครูพิสัยสังฆกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้วหลวงปู่ทองคำ ได้เดินทางออกธุดงค์เรื่อยมาตลอด และได้เดินทางไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงปู่ทองมา ถาวโร และอยู่ปรนนิบัติและศึกษาวิชาต่างๆกับหลวงปู่ทองมา ถาว...